Customer Reviews

ในโลกนี้คงมีคนอยู่ไม่น้อยที่ไม่พึงพอใจกับภาพลักษณ์บนใบหน้าของตัวเอง บ้างก็อยากเกิดมาสวยหล่อกว่าที่ตัวเองเป็นอยู่ บ้างก็อยากผอมขาวหุ่นดีให้เป็นที่สนใจแก่ผู้ที่พบเห็น แต่เชื่อเถอะว่าพระเอกเรื่องนี้ ‘โรริน เนียร์’ เขาคงจะยินดีมากกว่าหากตัวเองเป็นเพียงผู้ชายหน้าตาเรียบๆ แสนจืดชืดที่ไม่มีใครให้ความสนใจ เพราะในนิยายเรื่องนี้ หน้าตาดีไปก็เหมือนถูกสาป ผู้หญิงรักผู้หญิงหลง ตบตีแย่งชิงกันเพื่อให้ได้มาครอบครอง ขณะที่ผู้ชายกลายเป็นฝ่ายริษยา จงเกลียดจงชังใบหน้าที่ราวกับสวรรค์บรรจงสร้างอย่างประณีต เรื่องราวทุกอย่างมันวุ่นวายขึ้นเมื่อเด็กหนุ่มผู้มีชีวิตเป็นปรกติสุขมาตลอด 17 ปีกว่าๆ กลับต้องตื่นมาพบเรื่องราวชวนปวดหัวที่อาจสะเทือนไปถึงตับ เมื่อวันเกิดปีที่ 18 ของเขาได้พลิกผันชีวิตหนุ่มบ้านๆ ของเขากลับจากหน้ามือเป็นหลังเท้าได้ภายในคืนเดียว โรรินตื่นขึ้นมาเพื่อพบว่าหน้าตาตัวเองได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดินจนหมดสิ้น ไม่เว้นแม้แต่สีผมและดวงตา มันเป็นความหล่อที่มาพร้อมกับคำสาปให้หญิงรักหญิงหลงแต่ถูกผู้ชายด้วยกันชิงชัง ทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากเทพแห่งสายรุ้งนามว่า ‘โรริเนล’ เขาต้องการใช้ชีวิตไม่ต่างจากเทพคนอื่นๆ ที่ไม่ได้มีใบหน้าชวนหลงใหลอย่างที่เขาเป็นอยู่ จึงได้แบ่งพลังกึ่งหนึ่งให้กับมนุษย์ ซึ่งหวยก็ดันมาตกใส่หัวโรรินจนชีวิตของเขามีแต่ต้องโกยกับโกยลูกเดียว หลังจากนั้นเขาจึงต้องตามหาวิธีการถอนคำสาป การเดินทางของเด็กหนุ่มหน้าตาดีจึงได้เริ่มต้นขึ้นแบบงงๆ ปนซวยๆ ด้วยประการฉะนี้แล
เนื้อเรื่องนั้นจัดว่าเป็นนิยายแนวสบายๆ อ่านได้เรื่อยๆ มีฮาบ้างไม่ให้เนื้อเรื่องมันน่าเบื่อ เสียแต่เล่มบางไปหน่อยแต่ราคาแอบสูง ทำให้แอบประจักษ์เบาๆ ว่า สนพ กล้วยนั้นแอบแพงล่ะตัวเธอ...

ในโลกนี้คงมีคนอยู่ไม่น้อยที่ไม่พึงพอใจกับภาพลักษณ์บนใบหน้าของตัวเอง บ้างก็อยากเกิดมาสวยหล่อกว่าที่ตัวเองเป็นอยู่ บ้างก็อยากผอมขาวหุ่นดีให้เป็นที่สนใจแก่ผู้ที่พบเห็น แต่เชื่อเถอะว่าพระเอกเรื่องนี้ ‘โรริน เนียร์’ เขาคงจะยินดีมากกว่าหากตัวเองเป็นเพียงผู้ชายหน้าตาเรียบๆ แสนจืดชืดที่ไม่มีใครให้ความสนใจ เพราะในนิยายเรื่องนี้ หน้าตาดีไปก็เหมือนถูกสาป ผู้หญิงรักผู้หญิงหลง ตบตีแย่งชิงกันเพื่อให้ได้มาครอบครอง ขณะที่ผู้ชายกลายเป็นฝ่ายริษยา จงเกลียดจงชังใบหน้าที่ราวกับสวรรค์บรรจงสร้างอย่างประณีต เรื่องราวทุกอย่างมันวุ่นวายขึ้นเมื่อเด็กหนุ่มผู้มีชีวิตเป็นปรกติสุขมาตลอด 17 ปีกว่าๆ กลับต้องตื่นมาพบเรื่องราวชวนปวดหัวที่อาจสะเทือนไปถึงตับ เมื่อวันเกิดปีที่ 18 ของเขาได้พลิกผันชีวิตหนุ่มบ้านๆ ของเขากลับจากหน้ามือเป็นหลังเท้าได้ภายในคืนเดียว โรรินตื่นขึ้นมาเพื่อพบว่าหน้าตาตัวเองได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดินจนหมดสิ้น ไม่เว้นแม้แต่สีผมและดวงตา มันเป็นความหล่อที่มาพร้อมกับคำสาปให้หญิงรักหญิงหลงแต่ถูกผู้ชายด้วยกันชิงชัง ทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากเทพแห่งสายรุ้งนามว่า ‘โรริเนล’ เขาต้องการใช้ชีวิตไม่ต่างจากเทพคนอื่นๆ ที่ไม่ได้มีใบหน้าชวนหลงใหลอย่างที่เขาเป็นอยู่ จึงได้แบ่งพลังกึ่งหนึ่งให้กับมนุษย์ ซึ่งหวยก็ดันมาตกใส่หัวโรรินจนชีวิตของเขามีแต่ต้องโกยกับโกยลูกเดียว หลังจากนั้นเขาจึงต้องตามหาวิธีการถอนคำสาป การเดินทางของเด็กหนุ่มหน้าตาดีจึงได้เริ่มต้นขึ้นแบบงงๆ ปนซวยๆ ด้วยประการฉะนี้แล
เนื้อเรื่องนั้นจัดว่าเป็นนิยายแนวสบายๆ อ่านได้เรื่อยๆ มีฮาบ้างไม่ให้เนื้อเรื่องมันน่าเบื่อ เสียแต่เล่มบางไปหน่อยแต่ราคาแอบสูง ทำให้แอบประจักษ์เบาๆ ว่า สนพ กล้วยนั้นแอบแพงล่ะตัวเธอ...

คว้านิยายเล่มนี้มาเพราะหน้าปกเลยค่ะ (เสียตังค์เพราะปกทำพิษอีกแล้ววว) ทั้งนิยายเรื่องนี้ยังได้รับรางวัลการันตีถึง รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 จากโครงการ Enter Book Writer Episode 2 อีกด้วย ทำให้เราเชื่อมั่นเบาๆ ว่ามันต้องสนุกระดับหนึ่งแน่นอน พอลองเปิดอ่าน พล็อตมันเป็นอะไรที่น่าสนใจสำหรับเรานะ พระเจ้าสร้างคน คนสร้างหุ่นยนต์ แล้วก็ตั้งคำถามให้เราชวนคิดว่าระหว่างคนกับหุ่นยนต์นั้นแตกต่างกันอย่างไร โดยตัวละครที่ดำเนินเรื่องนี้จะเป็นพระเจ้า...หรือที่เรียกกันว่า ‘อิมมอร์ทัล’ เขามีชื่อว่า ‘อาเบล’ ถึงตัวตนที่แท้จริงของเขาจะเป็นผู้ที่ปกครองเหนือโลกทั้งปวง ทว่าเนื้อแท้ของเขากลับไม่ต่างจากมนุษย์บนผืนดินทั่วไป เขาเกิดแล้วตาย ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่สามารถโอนถ่ายข้อมูลได้ด้วยการแบ็คอัพข้อมูลผ่านเซิฟเวอร์เหมือนเครื่องคอมพิวเตอร์ อืมมม สมแล้วที่เป็นนิยายแนวแฟนตาซี มันมีอะไรให้เราทึ่งเยอะมากว่าคนเขียนเขานึกเรื่องพวกนี้แล้วเขียนออกมาได้ยังไง ทีนี้มีพระเจ้าแล้วก็คงต้องไม่ลืมพูดถึงเหล่าเทวทูตผู้รับใช้พระเจ้า ตัวละครเหล่านี้แหละที่ทำให้นิยายเรื่องนี้มีกลิ่นอายวายๆ แรงมาก แถมแต่ละคนยังมีความคิดอ่านสุดโต่งอย่างมากอีกด้วย แรกๆ อ่านแล้วเราก็ว่านิยายเรื่องนี้มันสนุกดี บรรยายเลิศ แต่สักพักอ่านแล้วไม่รู้ทำไมเรากลับนิ่งเฉยต่อนิยายเรื่องนี้ไปเสียอย่างนั้น ที่อ่านจนจบก็เพราะตามอาเบล(ท่านประธานคนนี้กร๊าวมากสำหรับเรา)...ไอ้เรื่องสัญญาที่มีต่อเทวทูตที่เป็นปม(เหมือนจะ)ใหญ่ในตอนแรก เรามองข้ามในส่วนตรงนี้ไปเลย เพราะพอเฉลยแล้วเรารู้สึกว่ามันเล็กน้อยมาก แต่นั่นก็แค่ความคิดของเราคนเดียวนะคะ คนอื่นๆ อาจจะอ่านแล้วไม่คิดเหมือนเราก็ได้ ฮ่าๆ

คว้านิยายเล่มนี้มาเพราะหน้าปกเลยค่ะ (เสียตังค์เพราะปกทำพิษอีกแล้ววว) ทั้งนิยายเรื่องนี้ยังได้รับรางวัลการันตีถึง รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 จากโครงการ Enter Book Writer Episode 2 อีกด้วย ทำให้เราเชื่อมั่นเบาๆ ว่ามันต้องสนุกระดับหนึ่งแน่นอน พอลองเปิดอ่าน พล็อตมันเป็นอะไรที่น่าสนใจสำหรับเรานะ พระเจ้าสร้างคน คนสร้างหุ่นยนต์ แล้วก็ตั้งคำถามให้เราชวนคิดว่าระหว่างคนกับหุ่นยนต์นั้นแตกต่างกันอย่างไร โดยตัวละครที่ดำเนินเรื่องนี้จะเป็นพระเจ้า...หรือที่เรียกกันว่า ‘อิมมอร์ทัล’ เขามีชื่อว่า ‘อาเบล’ ถึงตัวตนที่แท้จริงของเขาจะเป็นผู้ที่ปกครองเหนือโลกทั้งปวง ทว่าเนื้อแท้ของเขากลับไม่ต่างจากมนุษย์บนผืนดินทั่วไป เขาเกิดแล้วตาย ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่สามารถโอนถ่ายข้อมูลได้ด้วยการแบ็คอัพข้อมูลผ่านเซิฟเวอร์เหมือนเครื่องคอมพิวเตอร์ อืมมม สมแล้วที่เป็นนิยายแนวแฟนตาซี มันมีอะไรให้เราทึ่งเยอะมากว่าคนเขียนเขานึกเรื่องพวกนี้แล้วเขียนออกมาได้ยังไง ทีนี้มีพระเจ้าแล้วก็คงต้องไม่ลืมพูดถึงเหล่าเทวทูตผู้รับใช้พระเจ้า ตัวละครเหล่านี้แหละที่ทำให้นิยายเรื่องนี้มีกลิ่นอายวายๆ แรงมาก แถมแต่ละคนยังมีความคิดอ่านสุดโต่งอย่างมากอีกด้วย แรกๆ อ่านแล้วเราก็ว่านิยายเรื่องนี้มันสนุกดี บรรยายเลิศ แต่สักพักอ่านแล้วไม่รู้ทำไมเรากลับนิ่งเฉยต่อนิยายเรื่องนี้ไปเสียอย่างนั้น ที่อ่านจนจบก็เพราะตามอาเบล(ท่านประธานคนนี้กร๊าวมากสำหรับเรา)...ไอ้เรื่องสัญญาที่มีต่อเทวทูตที่เป็นปม(เหมือนจะ)ใหญ่ในตอนแรก เรามองข้ามในส่วนตรงนี้ไปเลย เพราะพอเฉลยแล้วเรารู้สึกว่ามันเล็กน้อยมาก แต่นั่นก็แค่ความคิดของเราคนเดียวนะคะ คนอื่นๆ อาจจะอ่านแล้วไม่คิดเหมือนเราก็ได้ ฮ่าๆ

สำหรับคนที่อ่านการ์ตูนเป็นประจำก็มักมีความคิดที่อยากจะวาดรูปกันบ้างใช่ไหมล่ะคะ แต่พอลองเอาดินสอร่างลงบนกระดาษวาดรูปร่างคนขึ้นมา ภาพที่ปรากฏกลับแตกต่างจากลายเส้นในหนังสือการ์ตูนโดยสิ้นเชิง ทั้งนี้ไม่ใช่ว่าคุณไม่มีพรสวรรค์นะคะ แต่เพราะเรื่องของการวาดนั้นมันขยับทักษะขึ้นมาได้ด้วยการฝึกฝนค่ะ หนังสือเล่มนี้เลยเหมาะกับเหล่ามือใหม่หัดวาดอย่างไม่ต้องสงสัย เขามีสอนหมดเลยว่าวาดหน้าต้องเริ่มยังไง มีการแบ่งสัดส่วนยังไงบ้างในการวาดคน ไหนจะหันข้าง ด้านหลัง มุมเงย มุมต่ำ มุมสูง เรียกได้ว่าครบสูตรจนกระทั่งสอนวาดมือ วาดผม ทั้งยังแสดงให้เรารู้ถึงความต่างระหว่างการวาดผู้ชายกับผู้หญิงอีกด้วย ส่วนตัวเราก็เริ่มหัดวาดการ์ตูนจากการวาดตามผลงานของคนที่เราชอบนะ แต่การวาดตามไม่ได้ช่วยให้เรารู้ว่าการเคลื่อนไหวไหนลักษณะอื่นๆ จะต้องวาดออกมาในลักษณะไหน การจะก๊อปภาพวาดตามคนอื่นไปเรื่อยๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ดี ดังนั้นหนังสือเล่มนี้จึงมีไว้ให้เราศึกษาทุกอย่างที่เกี่ยวกับการวาดภาพ เพื่อที่เราจะได้มีลายเส้นเป็นของตัวเอง สามารถวาดภาพออกมาได้ตามใจนึก ซึ่งมันจะรู้สึกดีมากๆ เลยล่ะเวลาที่เราสามารถวาดภาพที่อยู่ในหัวออกมาได้ตรงตามที่เราคิด และเราจะภูมิใจมากๆ เมื่อองค์ประกอบทุกอย่างมันโชว์หราอยู่บนกระดาษจนกระทั่งลงสีเสร็จ ถึงเล่มนี้จะไม่สอนวิธีลงสีเยอะนัก แต่ความรู้เรื่องพื้นฐานในการวาดรูปเรียกได้ว่าจัดเต็มกันไปเลยจ้า

สำหรับคนที่อ่านการ์ตูนเป็นประจำก็มักมีความคิดที่อยากจะวาดรูปกันบ้างใช่ไหมล่ะคะ แต่พอลองเอาดินสอร่างลงบนกระดาษวาดรูปร่างคนขึ้นมา ภาพที่ปรากฏกลับแตกต่างจากลายเส้นในหนังสือการ์ตูนโดยสิ้นเชิง ทั้งนี้ไม่ใช่ว่าคุณไม่มีพรสวรรค์นะคะ แต่เพราะเรื่องของการวาดนั้นมันขยับทักษะขึ้นมาได้ด้วยการฝึกฝนค่ะ หนังสือเล่มนี้เลยเหมาะกับเหล่ามือใหม่หัดวาดอย่างไม่ต้องสงสัย เขามีสอนหมดเลยว่าวาดหน้าต้องเริ่มยังไง มีการแบ่งสัดส่วนยังไงบ้างในการวาดคน ไหนจะหันข้าง ด้านหลัง มุมเงย มุมต่ำ มุมสูง เรียกได้ว่าครบสูตรจนกระทั่งสอนวาดมือ วาดผม ทั้งยังแสดงให้เรารู้ถึงความต่างระหว่างการวาดผู้ชายกับผู้หญิงอีกด้วย ส่วนตัวเราก็เริ่มหัดวาดการ์ตูนจากการวาดตามผลงานของคนที่เราชอบนะ แต่การวาดตามไม่ได้ช่วยให้เรารู้ว่าการเคลื่อนไหวไหนลักษณะอื่นๆ จะต้องวาดออกมาในลักษณะไหน การจะก๊อปภาพวาดตามคนอื่นไปเรื่อยๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ดี ดังนั้นหนังสือเล่มนี้จึงมีไว้ให้เราศึกษาทุกอย่างที่เกี่ยวกับการวาดภาพ เพื่อที่เราจะได้มีลายเส้นเป็นของตัวเอง สามารถวาดภาพออกมาได้ตามใจนึก ซึ่งมันจะรู้สึกดีมากๆ เลยล่ะเวลาที่เราสามารถวาดภาพที่อยู่ในหัวออกมาได้ตรงตามที่เราคิด และเราจะภูมิใจมากๆ เมื่อองค์ประกอบทุกอย่างมันโชว์หราอยู่บนกระดาษจนกระทั่งลงสีเสร็จ ถึงเล่มนี้จะไม่สอนวิธีลงสีเยอะนัก แต่ความรู้เรื่องพื้นฐานในการวาดรูปเรียกได้ว่าจัดเต็มกันไปเลยจ้า

วิชาหัวแตกสำหรับนักเรียนหลายๆ หนึ่งในนั้นคงต้องขอยกให้วิชาภาษาอังกฤษเป็นหนึ่งในนั้น ปัญหาเรื่องแกรมม่านั้นทุกคนคงมีติดตัว เราเองก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ไม่ว่าจะสอบกี่ครั้งเราก็ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคำตอบของคำถามข้อนั้นๆ ถึงได้ตอบอีกอย่างไปซะได้ ในหนังสือเล่มนี้เลยรวมรวบไวยากรณ์มากมายที่ทำเอาเราปวดตับพอๆ กับที่ได้ความรู้เข้ามาเติมเต็มรอยหยักให้สมอง โดยในหนังสือเล่มนี้จะเน้นการสรุปเนื้อหาที่จำเป็น(ต่อการสอบ?)เอาไว้อย่างกระชับและชัดเจน เสร็จแล้วก็มีบททดสอบให้ทำ มีเฉลยอยู่ท้ายเล่มที่หลังปกโปรยเอาไว้ว่ามีคำอธิบายอย่างละเอียด ข้อดีของหนังสือเล่มนี้เรามองว่าคนทำเขาจัดกลุ่มมาให้เราศึกษาไว้ทำให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจ เข้าใจเสร็จก็ทำแบบฝึกหัดต่อเลย (แม้จะผิดมากกว่าถูกเหมือนเดิมเลยก็เถอะ....) เรามองว่าเขาพยายามสร้างความเคยชินให้เราเจอโจทย์มากๆ ทำมากๆ พอรู้คำตอบที่ถูกต้องแล้วนำกลับมาทำความเข้าใจก็จะยิ่งทำให้เราจดจำแกรมม่าในบทนั้นๆ ได้ขึ้นใจมากขึ้น ติดก็แต่เราเป็นพวกความอดทนสั้น ทำไปได้ไม่ถึงบทก็ยอมแพ้แล้วให้กับแกรมม่าเล่มนี้.... เรามองว่ามันเหมาะกับการใช้ประกอบสอนในห้องเรียนมากกว่าเอากลับมาทำเองที่บ้านนะ สำหรับคนขยันมันอาจเป็นการทบทวนบทเรียนที่ดี แต่สำหรับคนขี้เกียจไร้ความขยันอย่างเรามันก็ไม่ต่างจากยานอนหลับดีๆ เลยค่ะ เพราะตัวหนังสือภาษาอังกฤษมันเรียงกันมาเป็นพรืดเลย ฮืออ

วิชาหัวแตกสำหรับนักเรียนหลายๆ หนึ่งในนั้นคงต้องขอยกให้วิชาภาษาอังกฤษเป็นหนึ่งในนั้น ปัญหาเรื่องแกรมม่านั้นทุกคนคงมีติดตัว เราเองก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ไม่ว่าจะสอบกี่ครั้งเราก็ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคำตอบของคำถามข้อนั้นๆ ถึงได้ตอบอีกอย่างไปซะได้ ในหนังสือเล่มนี้เลยรวมรวบไวยากรณ์มากมายที่ทำเอาเราปวดตับพอๆ กับที่ได้ความรู้เข้ามาเติมเต็มรอยหยักให้สมอง โดยในหนังสือเล่มนี้จะเน้นการสรุปเนื้อหาที่จำเป็น(ต่อการสอบ?)เอาไว้อย่างกระชับและชัดเจน เสร็จแล้วก็มีบททดสอบให้ทำ มีเฉลยอยู่ท้ายเล่มที่หลังปกโปรยเอาไว้ว่ามีคำอธิบายอย่างละเอียด ข้อดีของหนังสือเล่มนี้เรามองว่าคนทำเขาจัดกลุ่มมาให้เราศึกษาไว้ทำให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจ เข้าใจเสร็จก็ทำแบบฝึกหัดต่อเลย (แม้จะผิดมากกว่าถูกเหมือนเดิมเลยก็เถอะ....) เรามองว่าเขาพยายามสร้างความเคยชินให้เราเจอโจทย์มากๆ ทำมากๆ พอรู้คำตอบที่ถูกต้องแล้วนำกลับมาทำความเข้าใจก็จะยิ่งทำให้เราจดจำแกรมม่าในบทนั้นๆ ได้ขึ้นใจมากขึ้น ติดก็แต่เราเป็นพวกความอดทนสั้น ทำไปได้ไม่ถึงบทก็ยอมแพ้แล้วให้กับแกรมม่าเล่มนี้.... เรามองว่ามันเหมาะกับการใช้ประกอบสอนในห้องเรียนมากกว่าเอากลับมาทำเองที่บ้านนะ สำหรับคนขยันมันอาจเป็นการทบทวนบทเรียนที่ดี แต่สำหรับคนขี้เกียจไร้ความขยันอย่างเรามันก็ไม่ต่างจากยานอนหลับดีๆ เลยค่ะ เพราะตัวหนังสือภาษาอังกฤษมันเรียงกันมาเป็นพรืดเลย ฮืออ

อีกหนึ่งผลงานของนักเขียนนามปากกาลูกชุบ เรื่องนี้จัดอยู่ในเซ็ตของเหล่าหนุ่มๆ จาก Monster ถึงตาของหนุ่มเพลย์บอยอย่าง ‘ซัมเมอร์’ หนุ่มอารมณ์ดีที่ชอบโปรยเสน่ห์ไปทั่วและดูจะไม่จริงจังเลยกับสาวน้อยที่เป็นถึงนางแบบนาม ‘ไอรีณ’ แม้ว่าเธอจะสวย ใส หรือมีเสน่ห์แค่ไหนก็ตาม แรกเริ่มข้าพเจ้าต้องยอมรับเลยว่าแอบมีหวั่นๆ ถึงความร้ายกาจของเธออยู่เหมือนกัน เพราะขึ้นชื่อว่านางแบบก็....นะ แต่พอลองเปิดอ่านแล้วมันไม่ใช่อย่างที่คิดเลยค่ะ เธอมีนิสัยน่ารักและดูเป็นผู้ใหญ่มาก เนื้อเรื่องทั้งหมดมันเริ่มขึ้นจากการที่เธอดันไปหลุดชื่อของพระเอกเข้ากับผู้ชายคนหนึ่งที่ชอบมาตามจีบเธอจนทำให้เกิดเรื่องตามมา ทำให้ซัมเมอร์ต้องมาตามล่าหาตัวเธอถึงโรงเรียนพร้อมกับแบกรอยแผลบนใบหน้ามาเพื่อเรียกเก็บค่าเสียหายด้วย ถึงจะเป็นนางแบบแต่ไอรีณก็มีภาระทางบ้านพ่วงอยู่จึงทำให้ตัวเธอต้องเป็นหนี้ซัมเมอร์ไปโดยปริยาย ส่วนทางพระเอกหนุ่มอันนี้ขอแอบพูดหน่อยนะคะว่าด้วยนิสัยเจ้าชู้ที่ตอนแรกจะมาหาเรื่องนางเอก แต่พอเห็นหน้าไอรีณเข้าก็เปลี่ยนใจมาเป็นให้ใช้หนี้แทนเพราะตัวเองจะได้สามารถติดสอยห้อยตามไปไหนมาไหนกับเธอได้โดยสะดวกโยธิณ พล็อตเรื่องดำเนินไปแบบเรียบง่ายชวนให้อ่านตามไปเรื่อยๆ ให้เราตามลุ้นเอาว่าซัมเมอร์จะทลายเกราะคุ้มกันหัวใจของไอรีณลงได้หรือเปล่า เพราะเธอเป็นคนสวยย่อมแน่นอนว่าต้องคนจีบเยอะเป็นธรรมดา ถึงจะบอกว่าเนื้อเรื่องเรื่อยๆ แต่พอเข้าสู่ช่วงหลังก็เริ่มมีการทำลายล้างตับ(?)จนกระเพาะสะเทือน อันมีเรื่องของแฟนเก่ามาสร้างดราม่าตามประสาคนหน้าตาดีที่ต้องเคยมีแฟนมาก่อน ขอบอกเลยว่าตอนท้ายนี่นางเอกของเรื่องนี้แกร่งมาก ถูกใจเจ๊ที่สุด

อีกหนึ่งผลงานของนักเขียนนามปากกาลูกชุบ เรื่องนี้จัดอยู่ในเซ็ตของเหล่าหนุ่มๆ จาก Monster ถึงตาของหนุ่มเพลย์บอยอย่าง ‘ซัมเมอร์’ หนุ่มอารมณ์ดีที่ชอบโปรยเสน่ห์ไปทั่วและดูจะไม่จริงจังเลยกับสาวน้อยที่เป็นถึงนางแบบนาม ‘ไอรีณ’ แม้ว่าเธอจะสวย ใส หรือมีเสน่ห์แค่ไหนก็ตาม แรกเริ่มข้าพเจ้าต้องยอมรับเลยว่าแอบมีหวั่นๆ ถึงความร้ายกาจของเธออยู่เหมือนกัน เพราะขึ้นชื่อว่านางแบบก็....นะ แต่พอลองเปิดอ่านแล้วมันไม่ใช่อย่างที่คิดเลยค่ะ เธอมีนิสัยน่ารักและดูเป็นผู้ใหญ่มาก เนื้อเรื่องทั้งหมดมันเริ่มขึ้นจากการที่เธอดันไปหลุดชื่อของพระเอกเข้ากับผู้ชายคนหนึ่งที่ชอบมาตามจีบเธอจนทำให้เกิดเรื่องตามมา ทำให้ซัมเมอร์ต้องมาตามล่าหาตัวเธอถึงโรงเรียนพร้อมกับแบกรอยแผลบนใบหน้ามาเพื่อเรียกเก็บค่าเสียหายด้วย ถึงจะเป็นนางแบบแต่ไอรีณก็มีภาระทางบ้านพ่วงอยู่จึงทำให้ตัวเธอต้องเป็นหนี้ซัมเมอร์ไปโดยปริยาย ส่วนทางพระเอกหนุ่มอันนี้ขอแอบพูดหน่อยนะคะว่าด้วยนิสัยเจ้าชู้ที่ตอนแรกจะมาหาเรื่องนางเอก แต่พอเห็นหน้าไอรีณเข้าก็เปลี่ยนใจมาเป็นให้ใช้หนี้แทนเพราะตัวเองจะได้สามารถติดสอยห้อยตามไปไหนมาไหนกับเธอได้โดยสะดวกโยธิณ พล็อตเรื่องดำเนินไปแบบเรียบง่ายชวนให้อ่านตามไปเรื่อยๆ ให้เราตามลุ้นเอาว่าซัมเมอร์จะทลายเกราะคุ้มกันหัวใจของไอรีณลงได้หรือเปล่า เพราะเธอเป็นคนสวยย่อมแน่นอนว่าต้องคนจีบเยอะเป็นธรรมดา ถึงจะบอกว่าเนื้อเรื่องเรื่อยๆ แต่พอเข้าสู่ช่วงหลังก็เริ่มมีการทำลายล้างตับ(?)จนกระเพาะสะเทือน อันมีเรื่องของแฟนเก่ามาสร้างดราม่าตามประสาคนหน้าตาดีที่ต้องเคยมีแฟนมาก่อน ขอบอกเลยว่าตอนท้ายนี่นางเอกของเรื่องนี้แกร่งมาก ถูกใจเจ๊ที่สุด

อีกหนึ่งผลงานของนักเขียนนามปากกาหัวสมองตีบตันค่ะ อ่านของนักเขียนคนนี้ทีไรไม่เคยผิดหวังเลย ถึงชื่อเรื่องจะดูน่ากลัวตรงกรี๊ดก็เถอะนะ ฮ่าๆ เรื่องนี้ว่าด้วยนางเอกขี้เพ้อ เพ้อเจ้อ เพ้อฝัน เพ้อไปซะหมด โดยมีสามแฝดเพื่อนสนิทสาวของเธอคอยผลักดันอยู่อีกแรง เมื่ออยู่ๆ ‘เคลวิน’ หนุ่มโคตรหล่ออันดับหนึ่งในโรงเรียนมาสารภาพรักเธอ แต่ความจริงแล้วมันกลับเป็นแค่เรื่องขำๆ ที่เอามาแกล้งเธอ จึงทำให้เธอโกรธมาก จนถึงกับโพล่งออกไปว่าจะทำให้เขาหลงรักเธอให้ได้ และปฏิบัติการคว้าหัวใจสุดหล่ออันดับหนึ่งก็เริ่มขึ้นโดยมีแผนแปลกๆ จากเพื่อนสาวทั้งสามคนของเธอคอยช่วยเหลือ แต่ทว่าเมื่อกลับถึงบ้านก็เจอเซอร์ไพรส์ใหญ่อย่างการเจอหนุ่มสุดหล่ออันดับหนึ่งที่เธอเพิ่งจะประกาศกร้าวไปว่าจะให้เขาหลงรักให้ได้มาอยู่ชายคาเดียวกันในฐานะพี่ชายคนใหม่ เรื่องโคตรจะวุ่นวายเลยเกิดขึ้นนับตั้งแต่บัดนั้น

ตอนแรกที่อ่านเรื่องนี้ก็ไม่คิดนะคะว่าจะอ่านนางเอกแนวนี้รอด แต่พอเปิดต่อไปเรื่อยๆ ก็เริ่มติดค่ะ ยังแปลกใจว่าอยู่ๆ พ่อพระเอกสุดหล่อมาแสดงท่าทีว่ามีใจให้นางเอกตอนไหน พอจับทางได้แล้วจากที่เคยคิดว่าจะเป็นพระอกปากร้ายใจร้ายกลับกลายมาเป็นคนขี้อ้อนและห่วงนางเอกมากซะงั้น ส่วนนางเอกก็ได้แต่เบลอใส่แบบหัวใจเต้นตึกตัก น่ารักๆ กุ๊กกิ๊ก แต่ยังไงทุกเรื่องก็ต้องมีรอยร้าวเมื่อถึงจุดๆ หนึ่ง นางเอกของเราไปรู้เข้าว่าสุดหล่อเคลวินนั้นเคยมีซัมติงกับอาจารย์สุดสวยคนหนึ่ง และเมื่อยิ่งเข้าสู่โค้งสุดท้ายของเรื่องก็ยิ่งทำให้หัวใจฟีบลงเรื่อยๆ ค่ะ เพราะเคลวินเอาแต่ไปหาและขลุกอยู่แต่กับอาจารย์สาวคนนั้นโดยไม่บอกแม้เหตุผล แต่ท้ายที่สุดแล้วนิยายทุกเรื่องก็ต้องมีจุดจบของมัน แล้วเราจะได้รู้กันในตอนท้ายค่ะว่าที่เคลวินทำลงไปทั้งหมดนั้นเป็นเพราะอะไร

อีกหนึ่งผลงานของนักเขียนนามปากกาหัวสมองตีบตันค่ะ อ่านของนักเขียนคนนี้ทีไรไม่เคยผิดหวังเลย ถึงชื่อเรื่องจะดูน่ากลัวตรงกรี๊ดก็เถอะนะ ฮ่าๆ เรื่องนี้ว่าด้วยนางเอกขี้เพ้อ เพ้อเจ้อ เพ้อฝัน เพ้อไปซะหมด โดยมีสามแฝดเพื่อนสนิทสาวของเธอคอยผลักดันอยู่อีกแรง เมื่ออยู่ๆ ‘เคลวิน’ หนุ่มโคตรหล่ออันดับหนึ่งในโรงเรียนมาสารภาพรักเธอ แต่ความจริงแล้วมันกลับเป็นแค่เรื่องขำๆ ที่เอามาแกล้งเธอ จึงทำให้เธอโกรธมาก จนถึงกับโพล่งออกไปว่าจะทำให้เขาหลงรักเธอให้ได้ และปฏิบัติการคว้าหัวใจสุดหล่ออันดับหนึ่งก็เริ่มขึ้นโดยมีแผนแปลกๆ จากเพื่อนสาวทั้งสามคนของเธอคอยช่วยเหลือ แต่ทว่าเมื่อกลับถึงบ้านก็เจอเซอร์ไพรส์ใหญ่อย่างการเจอหนุ่มสุดหล่ออันดับหนึ่งที่เธอเพิ่งจะประกาศกร้าวไปว่าจะให้เขาหลงรักให้ได้มาอยู่ชายคาเดียวกันในฐานะพี่ชายคนใหม่ เรื่องโคตรจะวุ่นวายเลยเกิดขึ้นนับตั้งแต่บัดนั้น

ตอนแรกที่อ่านเรื่องนี้ก็ไม่คิดนะคะว่าจะอ่านนางเอกแนวนี้รอด แต่พอเปิดต่อไปเรื่อยๆ ก็เริ่มติดค่ะ ยังแปลกใจว่าอยู่ๆ พ่อพระเอกสุดหล่อมาแสดงท่าทีว่ามีใจให้นางเอกตอนไหน พอจับทางได้แล้วจากที่เคยคิดว่าจะเป็นพระอกปากร้ายใจร้ายกลับกลายมาเป็นคนขี้อ้อนและห่วงนางเอกมากซะงั้น ส่วนนางเอกก็ได้แต่เบลอใส่แบบหัวใจเต้นตึกตัก น่ารักๆ กุ๊กกิ๊ก แต่ยังไงทุกเรื่องก็ต้องมีรอยร้าวเมื่อถึงจุดๆ หนึ่ง นางเอกของเราไปรู้เข้าว่าสุดหล่อเคลวินนั้นเคยมีซัมติงกับอาจารย์สุดสวยคนหนึ่ง และเมื่อยิ่งเข้าสู่โค้งสุดท้ายของเรื่องก็ยิ่งทำให้หัวใจฟีบลงเรื่อยๆ ค่ะ เพราะเคลวินเอาแต่ไปหาและขลุกอยู่แต่กับอาจารย์สาวคนนั้นโดยไม่บอกแม้เหตุผล แต่ท้ายที่สุดแล้วนิยายทุกเรื่องก็ต้องมีจุดจบของมัน แล้วเราจะได้รู้กันในตอนท้ายค่ะว่าที่เคลวินทำลงไปทั้งหมดนั้นเป็นเพราะอะไร

วันอาทิตย์เขาว่ามีจิตสื่อกับคนท้องใครใคร่อยู่ใกล้มักมีญาณรู้สึก หนึ่งในซีรี่ย์ 7 วันจองเวรของพี่ภาคินัย นักแต่งนิยายเขย่าขวัญที่เฟ้นหาเรื่องเล่าและสิ่งต่างๆ ในประเทศเราออกมาแปรรูปเป็นตัวหนังสือให้เราได้สัมผัสถึงความน่ากลัวกัน ซึ่งอันนี้จะเป็นในรูปแบบของการ์ตูนค่ะ ขายดีขั้นทำเป็นซีรี่ย์การ์ตูนต่อจากนิยายเลยด้วย ว่ากันด้วยเรื่องคนเกิดวันอาทิตย์อย่างหมอ ‘อชิระ’ หรือ ‘หมออั้น’ นักศึกษาแพทย์ที่อยู่ในแผนกสูตินารีซึ่งแน่นอนว่าทำงานอยู่ใกล้คนท้องชนิดที่แทบเจอกันแทบทุกชั่วโมง อยู่มาวันหนึ่งได้มีวิญญาณสาวท้องคนหนึ่งโผล่ออกมาหาเขาในคืนที่เข้าเวรอยู่เพื่อขอความช่วยเหลือ จึงทำให้ชีวิตของหมออั้นต้องเป็นอันถูกผีสาวตามไปไหนต่อไหนแถมไม่ได้มาในรูปแบบเป็นมิตรนัก โผล่มาในแต่ละครั้งราวกับแค้นเคืองกันตั้งแต่ชาติปางก่อน พูดได้เลยค่ะว่าคนแต่งบรรยายบรรยากาศในเรื่องได้น่ากลัวมาก แต่พอกลายมาเป็นรูปแบบภาพวาด ถึงจะให้อารมณ์แตกต่างกับนิยายแต่ก็วาดออกมาได้ขนลุกไม่แพ้กัน ฉากน่าสยดสยองอย่างการเริ่มต้นตามล้างแค้นของวิญญาณสาวที่ต้องถูกทำแท้งโดยที่เธอไม่ต้องการก็ทำออกมาได้หลอนจิตมาก แถมเรื่องราวของหญิงสาวที่เข้าไปในนิมิตของหมออั้นนั้นความจริงมันกลับตาลปัตรไปหมด หมอได้ลงมือไปสืบด้วยตัวเองเพื่อหาข้อเท็จจริง พร้อมกันนั้นเขาก็ต้องสูญเสียเพื่อนหมอและพยาบาลไปทีละคน ยิ่งสืบก็ยิ่งรู้ว่าเพื่อนร่วมงานของเขาแต่ละคนนั้นมีความเกี่ยวข้องกับการทำแท้งของหญิงสาวทั้งนั้น ทว่าความจริงที่เผยออกมาท้ายเรื่องกลับเป็นสิ่งที่น่าเหลือเชื่อมาก ทำให้เรารู้เลยว่าสันดานของมนุษย์นั้นมันไม่อาจหยั่งถึงได้จริงๆ และเรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่ไม่อยากเปิดไปถึงบทสรุปในตอนท้ายเลยค่ะ กลัวทำใจยอมรับไม่ได้เบาๆ 5555

วันอาทิตย์เขาว่ามีจิตสื่อกับคนท้องใครใคร่อยู่ใกล้มักมีญาณรู้สึก หนึ่งในซีรี่ย์ 7 วันจองเวรของพี่ภาคินัย นักแต่งนิยายเขย่าขวัญที่เฟ้นหาเรื่องเล่าและสิ่งต่างๆ ในประเทศเราออกมาแปรรูปเป็นตัวหนังสือให้เราได้สัมผัสถึงความน่ากลัวกัน ซึ่งอันนี้จะเป็นในรูปแบบของการ์ตูนค่ะ ขายดีขั้นทำเป็นซีรี่ย์การ์ตูนต่อจากนิยายเลยด้วย ว่ากันด้วยเรื่องคนเกิดวันอาทิตย์อย่างหมอ ‘อชิระ’ หรือ ‘หมออั้น’ นักศึกษาแพทย์ที่อยู่ในแผนกสูตินารีซึ่งแน่นอนว่าทำงานอยู่ใกล้คนท้องชนิดที่แทบเจอกันแทบทุกชั่วโมง อยู่มาวันหนึ่งได้มีวิญญาณสาวท้องคนหนึ่งโผล่ออกมาหาเขาในคืนที่เข้าเวรอยู่เพื่อขอความช่วยเหลือ จึงทำให้ชีวิตของหมออั้นต้องเป็นอันถูกผีสาวตามไปไหนต่อไหนแถมไม่ได้มาในรูปแบบเป็นมิตรนัก โผล่มาในแต่ละครั้งราวกับแค้นเคืองกันตั้งแต่ชาติปางก่อน พูดได้เลยค่ะว่าคนแต่งบรรยายบรรยากาศในเรื่องได้น่ากลัวมาก แต่พอกลายมาเป็นรูปแบบภาพวาด ถึงจะให้อารมณ์แตกต่างกับนิยายแต่ก็วาดออกมาได้ขนลุกไม่แพ้กัน ฉากน่าสยดสยองอย่างการเริ่มต้นตามล้างแค้นของวิญญาณสาวที่ต้องถูกทำแท้งโดยที่เธอไม่ต้องการก็ทำออกมาได้หลอนจิตมาก แถมเรื่องราวของหญิงสาวที่เข้าไปในนิมิตของหมออั้นนั้นความจริงมันกลับตาลปัตรไปหมด หมอได้ลงมือไปสืบด้วยตัวเองเพื่อหาข้อเท็จจริง พร้อมกันนั้นเขาก็ต้องสูญเสียเพื่อนหมอและพยาบาลไปทีละคน ยิ่งสืบก็ยิ่งรู้ว่าเพื่อนร่วมงานของเขาแต่ละคนนั้นมีความเกี่ยวข้องกับการทำแท้งของหญิงสาวทั้งนั้น ทว่าความจริงที่เผยออกมาท้ายเรื่องกลับเป็นสิ่งที่น่าเหลือเชื่อมาก ทำให้เรารู้เลยว่าสันดานของมนุษย์นั้นมันไม่อาจหยั่งถึงได้จริงๆ และเรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่ไม่อยากเปิดไปถึงบทสรุปในตอนท้ายเลยค่ะ กลัวทำใจยอมรับไม่ได้เบาๆ 5555

หนังสือหมวดสุขภาพ เรื่องง่ายๆ เริ่มได้ที่ตัวเอง มักจะเคยได้ยินอยู่บ่อยๆ ใช่ไหมล่ะคะว่า การไม่เป็นโรคคือลาภอันประเสริธ ตอนเด็กๆ เราก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่เคยกังวลเรื่องสุขภาพของตัวเองเลย จนกระทั่งเรียนจบ เริ่มทำงาน อายุที่เพิ่มมากขึ้นก็เลยทำให้ต้องเจอกับโรคนั่นนี่เยอะกว่าที่เคยเป็นมาในสมัยอดีต ทั้งภูมิแพ้ กรดไหลย้อน โรคกระเพาะ ออฟฟิตซินโดรม น้ำในหูไม่เท่ากัน เวียนหัวจนบ้านหมุน ฯลฯ คือเป็นเยอะมากจนอยากจะร้องไห้กับตัวเองเลย วันหนึ่งน้องชายของเราเลยซื้อหนังสือเล่มนี้มาให้อ่าน เชื่อไหมว่าเราเข้าใจแบบผิดๆ มาตลอดเลยว่าการดื่มน้ำให้ได้ 8-12 แก้วต่อวันนั้นเพียงพอแล้ว แต่เราไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า น้ำ 8-12 แก้วนั้นจะต้องดื่มยังไงให้ถูกวิธี การจิบมาก จิบน้อยแต่สม่ำเสมอนั้นจะให้ผลที่ค่อนข้างแตกต่างกันกับสุขภาพของเรา ในหนังสือเล่มนี้จะเขียนให้เราตระหนักถึงพฤติกรรมที่เราประพฤติในแต่ละวัน ว่ามันจะส่งผลกระทบอย่างไรกับร่างกายของเราบ้าง โดยเขาจะยกตัวอย่างผ่านบุคคลที่เคยประสบกับโรคเหล่านี้มาให้เราศึกษาเป็นกรณีแบบ case by case ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกิน นั่ง นอน ทุกอิริยาบถนั้นสามารถส่งผลกระทบต่อร่างกายเราได้โดยที่เราอาจจะไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ ทั้งยังมีบอกอาการของแต่ละโรคให้เรารู้อย่างละเอียดด้วย อ่านแล้วแทบไม่อยากป่วยเลย แต่ในเมื่อเราเลือกไม่ได้ว่าจะอยากป่วยหรือไม่ ก็เหลืออยู่แค่หนทางเดียวคือการดูแลรักษาสุขภาพตัวเองให้ดี เพื่อหลีกเลี่ยงจากโรคทั้งหลายแหล่ที่อาจมาเยี่ยมเยือนเราได้ในอนาคต

หนังสือเรื่องนี้อ่านแล้วต้องยอมรับเลยว่าเขาแน่นปึ้กเรื่องข้อมูลมาก ไม่ว่าจะเป็นปัญหาของโรค การดูแลรักษา วิธีที่จะช่วยบรรเทา คุณค่าของอาหารที่รับประทาน รวมไปถึงอะไรหลายๆ อย่างที่เราอาจจะรู้แต่ไม่เคยใส่ใจมาก่อน หนังสือเล่มนี้นับว่าอ่านง่ายเพราะสำนวนการเขียนของเขาลื่นไหลและค่อนข้างเรียบง่าย แต่สำหรับคนที่ไม่ชอบหนังสือที่มีตัวอักษรเรียงกันเป็นพรืดก็คงอ่านแล้วจะเบื่อหน่อยเพราะมันเป็นเรื่องของวิชาการล้วนๆ อ่านแล้วเหมือนหนังสือเรียนที่พอผ่านตาปุ๊บก็เหมือนได้กินยานอนหลับไปสักสองเม็ด ฮ่าๆ ขนาดเราอ่านนิยายเป็นร้อยๆ เล่ม เจอหนังสือแนวนี้เข้าไปอ่านแล้วยังจะหลับเลย แต่เรื่องประโยชน์ต่อสุขภาพของผู้อ่านนี่นับว่าจัดเต็มมาก หากใครอ่านแล้วสามารถปฏิบัติตามได้อย่างเคร่งครัด เชื่อว่ามันจะช่วยให้สุขภาพของท่านห่างไกลจากโรคที่ระบุเอาไว้ในหนังสือเล่มนี้ได้ไม่มากก็น้อยเลยค่ะ

หนังสือหมวดสุขภาพ เรื่องง่ายๆ เริ่มได้ที่ตัวเอง มักจะเคยได้ยินอยู่บ่อยๆ ใช่ไหมล่ะคะว่า การไม่เป็นโรคคือลาภอันประเสริธ ตอนเด็กๆ เราก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่เคยกังวลเรื่องสุขภาพของตัวเองเลย จนกระทั่งเรียนจบ เริ่มทำงาน อายุที่เพิ่มมากขึ้นก็เลยทำให้ต้องเจอกับโรคนั่นนี่เยอะกว่าที่เคยเป็นมาในสมัยอดีต ทั้งภูมิแพ้ กรดไหลย้อน โรคกระเพาะ ออฟฟิตซินโดรม น้ำในหูไม่เท่ากัน เวียนหัวจนบ้านหมุน ฯลฯ คือเป็นเยอะมากจนอยากจะร้องไห้กับตัวเองเลย วันหนึ่งน้องชายของเราเลยซื้อหนังสือเล่มนี้มาให้อ่าน เชื่อไหมว่าเราเข้าใจแบบผิดๆ มาตลอดเลยว่าการดื่มน้ำให้ได้ 8-12 แก้วต่อวันนั้นเพียงพอแล้ว แต่เราไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า น้ำ 8-12 แก้วนั้นจะต้องดื่มยังไงให้ถูกวิธี การจิบมาก จิบน้อยแต่สม่ำเสมอนั้นจะให้ผลที่ค่อนข้างแตกต่างกันกับสุขภาพของเรา ในหนังสือเล่มนี้จะเขียนให้เราตระหนักถึงพฤติกรรมที่เราประพฤติในแต่ละวัน ว่ามันจะส่งผลกระทบอย่างไรกับร่างกายของเราบ้าง โดยเขาจะยกตัวอย่างผ่านบุคคลที่เคยประสบกับโรคเหล่านี้มาให้เราศึกษาเป็นกรณีแบบ case by case ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกิน นั่ง นอน ทุกอิริยาบถนั้นสามารถส่งผลกระทบต่อร่างกายเราได้โดยที่เราอาจจะไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ ทั้งยังมีบอกอาการของแต่ละโรคให้เรารู้อย่างละเอียดด้วย อ่านแล้วแทบไม่อยากป่วยเลย แต่ในเมื่อเราเลือกไม่ได้ว่าจะอยากป่วยหรือไม่ ก็เหลืออยู่แค่หนทางเดียวคือการดูแลรักษาสุขภาพตัวเองให้ดี เพื่อหลีกเลี่ยงจากโรคทั้งหลายแหล่ที่อาจมาเยี่ยมเยือนเราได้ในอนาคต

หนังสือเรื่องนี้อ่านแล้วต้องยอมรับเลยว่าเขาแน่นปึ้กเรื่องข้อมูลมาก ไม่ว่าจะเป็นปัญหาของโรค การดูแลรักษา วิธีที่จะช่วยบรรเทา คุณค่าของอาหารที่รับประทาน รวมไปถึงอะไรหลายๆ อย่างที่เราอาจจะรู้แต่ไม่เคยใส่ใจมาก่อน หนังสือเล่มนี้นับว่าอ่านง่ายเพราะสำนวนการเขียนของเขาลื่นไหลและค่อนข้างเรียบง่าย แต่สำหรับคนที่ไม่ชอบหนังสือที่มีตัวอักษรเรียงกันเป็นพรืดก็คงอ่านแล้วจะเบื่อหน่อยเพราะมันเป็นเรื่องของวิชาการล้วนๆ อ่านแล้วเหมือนหนังสือเรียนที่พอผ่านตาปุ๊บก็เหมือนได้กินยานอนหลับไปสักสองเม็ด ฮ่าๆ ขนาดเราอ่านนิยายเป็นร้อยๆ เล่ม เจอหนังสือแนวนี้เข้าไปอ่านแล้วยังจะหลับเลย แต่เรื่องประโยชน์ต่อสุขภาพของผู้อ่านนี่นับว่าจัดเต็มมาก หากใครอ่านแล้วสามารถปฏิบัติตามได้อย่างเคร่งครัด เชื่อว่ามันจะช่วยให้สุขภาพของท่านห่างไกลจากโรคที่ระบุเอาไว้ในหนังสือเล่มนี้ได้ไม่มากก็น้อยเลยค่ะ

ตรรกะ....ไสยศาสตร์...มายากล สามความเชื่อที่ไม่ได้มีจุดรวมที่คล้ายคลึงกันแต่กลับยิ่งขัดกันอย่างหาที่ลงตัวไม่ได้ และไหนจะยังสามชายหนุ่มที่ถูกจับพลัดจับพลูมาชนกันในคฤหาสน์สุดใหญ่โตบนที่ลับตาไกลจากฝูงชน คฤหาสน์ที่เต็มไปด้วยเกมปริศนา อาถรรพ์ และภาพหลอกตา นี่เป็นอีกหนึ่งผลงานชิ้นโบว์แดงที่พูนิก้าจัดทำขึ้นให้กับนักอ่านทุกคน โดยการนำคุณอัยย์ ผู้เขียนเรื่อง การิน ปริศนาคดีอาถรรพ์ และคุณแทน ผู้เขียนเรื่อง ชินเร ตรรกะเกมฆาตกรรมมาทำงานร่วมกัน! ด้วยอิทธิพลการเขียนที่มีต่อกันและกัน ทางทีมงานเลยทนไม่ไหวจับพวกเขาสองคนมาโคความคิดเข้าด้วยกัน ด้วยการจับตัวละครเอกของนิยายสองเรื่องมารวมกันอย่าง ‘ชินะ กุนต์กลทีป์’ หรือที่รู้จักกันในนาม คุณชายชิน เด็กชายวัย19ปีที่เปี่ยมไปด้วยสติปัญญา หรือเรียกกันง่ายๆ ว่าอัจฉริยะตัวจริงเสียงจริง เห็นอายุเพียงแค่นี้แต่กลับชวยทางตำรวจคลายปมคดีฆาตกรรมมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง เขาได้ฝากความศรัทธาในชีวิตของตัวเองเอาไว้กับหลักการและเหตุผล ใช้ตรรกะในการตัดสินทุกอย่าง ส่วนตัวละครหลักอีกคนก็คือ ‘เรวิน สมิธ’ รายนี้ก็เป็นเด็กหนุ่มอายุ19 ปี เป็นนักมายากลระดับโลกที่ทุกคนล้วนรู้จักกันในนามเรวิน เป็นคนที่ดูลึกลับเกินคาดเดา ชอบพูดเรื่องแปลกๆ ออกมาพร้อมทั้งรอยยิ้ม มักขัดกับคุณชายชินอยู่เสมอ แต่เรวินก็นับถือและเชื่อในตรรกะของคุณชายชินนะ เพียงแค่บางครั้งเขาก็มีความเชื่อบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายออกมาได้ เลยต้องใช้คำพูดที่ว่า ”โลกนี้ไม่มีอะไรที่เป็นจริงเสมอไป” มาอธิบายแทน ส่วนอีกคนที่ไม่พูดถึงก็คงไม่ได้ นั่นคือเด็กหนุ่มสุดดำมืดที่ไปทางไหนก็มีแต่คนแหวกและหลบทางให้อย่าง ‘การิน จิตเมธร’ ที่เป็นตัวละครหลักจากเรื่องการินนั่นเอง เด็กหนุ่มคนนี้คงพูดได้เลยว่าทั้งชีวิตของเขาเดินทางดำดิ่งไปสู่ไสยศาสตร์ ดำมืดแบบกู่ไม่กลับจริงๆ เขาชอบและหลงใหลได้ปลื้มกับด้านมืดเสียเหลือเกิน แต่อย่าได้มองการินเพียงเท่านั้นนะคะ เพราะถ้าคุณลองมองและอ่านคำพูดของเด็กหนุ่มคนนี้ก็อาจจะเจอแนวคิดที่ปลุกคุณให้ตาสว่างขึ้นมาก็ได้

มาถึงเนื้อเรื่องกันเลยดีกว่าค่ะ จะว่าไป...อธิบายเรื่องตัวละครที่มาโคกันซะเยอะเลยอ่ะ ฮ่าๆ เอาเป็นว่า คดีครั้งนี้มันเริ่มมาจากอุบัติเหตุที่ไม่มีใครคิดว่ามันเป็นเพียงแค่เรื่องบังเอิญของลูกนักธุรกิจใหญ่ คือมันประจวบเหมาะเกินไปเลยทำให้หลายคนสงสัยว่าพ่อของเขาที่มีลับลมคมในนั้นน่าจะเป็นผู้ลงมือกระทำ เพราะก่อนที่จะเกิดเหตุ ‘บริณัย’ ซึ่งเป็นลูกของ ‘บริณต’ เหมือนจะมีปากเสียงทะเลาะกันเรื่องที่เขาไปคบและแต่งงานกับเลขาสาวของตน แล้วในคืนนั้นเอง บริณัยก็ได้แอบเข้าไปเห็นผู้เป็นพ่อทำพิธีกรรมอะไรแปลกๆ เข้าตัวเอง ซึ่งเขารับไม่ได้ว่าคนที่มีฐานะเพียบพร้อมขนาดนี้ยังจะจมอยู่กับเรื่องไสยศาสตร์อีก จึงตัดสินใจพาภรรยาของตนออกมาภายในคืนนั้น หนำซ้ำยังเป็นคืนที่ฝนตก เลยไม่มีใครสังเกตุเห็นจันทรุปราคาที่เกิดขึ้นในคืนนั้นด้วย แต่แล้วด้วยเหตุบางอย่างจึงทำให้รถของบริณัยพุงออกจากถนนตกเหว เขาเสียชีวิตไปพร้อมกับภรรยา เหลือทิ้งไว้เพียงลูกชายของเขาที่รอดชีวิตมาได้ เหตุการณ์ผ่านไป13ปี ปริณตได้รวบรวมคนที่มีฝีมือในการแก้เกมปริศนา เขาได้ไปชักชวนชินะและการินด้วยตัวเอง รวมไปถึงเรวินด้วย นอกจากนี้ยังมีคนสนิทของตนเองอีกสองคนที่เป็นนักสืบและผู้รับตำแหน่งผู้บริหารต่อจากเขา ภายในคฤหาสน์นั้นเต็มไปด้วยปริศนาที่แปลกประหลาดเยอะแยะไปหมด บอกได้เลยค่ะว่าถ้าอ่านแล้วจะวางมือไม่ลงจริงๆ กับเกมปริศนาตรรกะที่คอยลุ้นว่าจะมีอาถรรพ์อะไรรึเปล่ากับนิยายเรื่องนี้

ตรรกะ....ไสยศาสตร์...มายากล สามความเชื่อที่ไม่ได้มีจุดรวมที่คล้ายคลึงกันแต่กลับยิ่งขัดกันอย่างหาที่ลงตัวไม่ได้ และไหนจะยังสามชายหนุ่มที่ถูกจับพลัดจับพลูมาชนกันในคฤหาสน์สุดใหญ่โตบนที่ลับตาไกลจากฝูงชน คฤหาสน์ที่เต็มไปด้วยเกมปริศนา อาถรรพ์ และภาพหลอกตา นี่เป็นอีกหนึ่งผลงานชิ้นโบว์แดงที่พูนิก้าจัดทำขึ้นให้กับนักอ่านทุกคน โดยการนำคุณอัยย์ ผู้เขียนเรื่อง การิน ปริศนาคดีอาถรรพ์ และคุณแทน ผู้เขียนเรื่อง ชินเร ตรรกะเกมฆาตกรรมมาทำงานร่วมกัน! ด้วยอิทธิพลการเขียนที่มีต่อกันและกัน ทางทีมงานเลยทนไม่ไหวจับพวกเขาสองคนมาโคความคิดเข้าด้วยกัน ด้วยการจับตัวละครเอกของนิยายสองเรื่องมารวมกันอย่าง ‘ชินะ กุนต์กลทีป์’ หรือที่รู้จักกันในนาม คุณชายชิน เด็กชายวัย19ปีที่เปี่ยมไปด้วยสติปัญญา หรือเรียกกันง่ายๆ ว่าอัจฉริยะตัวจริงเสียงจริง เห็นอายุเพียงแค่นี้แต่กลับชวยทางตำรวจคลายปมคดีฆาตกรรมมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง เขาได้ฝากความศรัทธาในชีวิตของตัวเองเอาไว้กับหลักการและเหตุผล ใช้ตรรกะในการตัดสินทุกอย่าง ส่วนตัวละครหลักอีกคนก็คือ ‘เรวิน สมิธ’ รายนี้ก็เป็นเด็กหนุ่มอายุ19 ปี เป็นนักมายากลระดับโลกที่ทุกคนล้วนรู้จักกันในนามเรวิน เป็นคนที่ดูลึกลับเกินคาดเดา ชอบพูดเรื่องแปลกๆ ออกมาพร้อมทั้งรอยยิ้ม มักขัดกับคุณชายชินอยู่เสมอ แต่เรวินก็นับถือและเชื่อในตรรกะของคุณชายชินนะ เพียงแค่บางครั้งเขาก็มีความเชื่อบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายออกมาได้ เลยต้องใช้คำพูดที่ว่า ”โลกนี้ไม่มีอะไรที่เป็นจริงเสมอไป” มาอธิบายแทน ส่วนอีกคนที่ไม่พูดถึงก็คงไม่ได้ นั่นคือเด็กหนุ่มสุดดำมืดที่ไปทางไหนก็มีแต่คนแหวกและหลบทางให้อย่าง ‘การิน จิตเมธร’ ที่เป็นตัวละครหลักจากเรื่องการินนั่นเอง เด็กหนุ่มคนนี้คงพูดได้เลยว่าทั้งชีวิตของเขาเดินทางดำดิ่งไปสู่ไสยศาสตร์ ดำมืดแบบกู่ไม่กลับจริงๆ เขาชอบและหลงใหลได้ปลื้มกับด้านมืดเสียเหลือเกิน แต่อย่าได้มองการินเพียงเท่านั้นนะคะ เพราะถ้าคุณลองมองและอ่านคำพูดของเด็กหนุ่มคนนี้ก็อาจจะเจอแนวคิดที่ปลุกคุณให้ตาสว่างขึ้นมาก็ได้

มาถึงเนื้อเรื่องกันเลยดีกว่าค่ะ จะว่าไป...อธิบายเรื่องตัวละครที่มาโคกันซะเยอะเลยอ่ะ ฮ่าๆ เอาเป็นว่า คดีครั้งนี้มันเริ่มมาจากอุบัติเหตุที่ไม่มีใครคิดว่ามันเป็นเพียงแค่เรื่องบังเอิญของลูกนักธุรกิจใหญ่ คือมันประจวบเหมาะเกินไปเลยทำให้หลายคนสงสัยว่าพ่อของเขาที่มีลับลมคมในนั้นน่าจะเป็นผู้ลงมือกระทำ เพราะก่อนที่จะเกิดเหตุ ‘บริณัย’ ซึ่งเป็นลูกของ ‘บริณต’ เหมือนจะมีปากเสียงทะเลาะกันเรื่องที่เขาไปคบและแต่งงานกับเลขาสาวของตน แล้วในคืนนั้นเอง บริณัยก็ได้แอบเข้าไปเห็นผู้เป็นพ่อทำพิธีกรรมอะไรแปลกๆ เข้าตัวเอง ซึ่งเขารับไม่ได้ว่าคนที่มีฐานะเพียบพร้อมขนาดนี้ยังจะจมอยู่กับเรื่องไสยศาสตร์อีก จึงตัดสินใจพาภรรยาของตนออกมาภายในคืนนั้น หนำซ้ำยังเป็นคืนที่ฝนตก เลยไม่มีใครสังเกตุเห็นจันทรุปราคาที่เกิดขึ้นในคืนนั้นด้วย แต่แล้วด้วยเหตุบางอย่างจึงทำให้รถของบริณัยพุงออกจากถนนตกเหว เขาเสียชีวิตไปพร้อมกับภรรยา เหลือทิ้งไว้เพียงลูกชายของเขาที่รอดชีวิตมาได้ เหตุการณ์ผ่านไป13ปี ปริณตได้รวบรวมคนที่มีฝีมือในการแก้เกมปริศนา เขาได้ไปชักชวนชินะและการินด้วยตัวเอง รวมไปถึงเรวินด้วย นอกจากนี้ยังมีคนสนิทของตนเองอีกสองคนที่เป็นนักสืบและผู้รับตำแหน่งผู้บริหารต่อจากเขา ภายในคฤหาสน์นั้นเต็มไปด้วยปริศนาที่แปลกประหลาดเยอะแยะไปหมด บอกได้เลยค่ะว่าถ้าอ่านแล้วจะวางมือไม่ลงจริงๆ กับเกมปริศนาตรรกะที่คอยลุ้นว่าจะมีอาถรรพ์อะไรรึเปล่ากับนิยายเรื่องนี้

ซีรี่ย์สุดท้ายของเซ็ตนี้เป็นเรื่องของพ่อหนุ่มพันไมล์ สารภาพเลยว่าโดยส่วนตัวไม่ค่อยได้อ่านหนังสือของทางแจ่มใสสักเท่าไหร่ หลายปีมากแล้วที่ไม่ได้หยิบหนังสือของสำนักพิมพ์นี้มาอ่าน เพราะส่วนตัวเราชอบแนวแฟนตาซีมากกว่า อีกอย่างไม่ค่อยชอบเรื่องที่เน้นแนวรักๆ ด้วย จะบอกว่าคนละแนวกับทางสำนักพิมพ์แจ่มใสก็คงไม่ผิดมากนัก แต่พอมีคนแนะนำเรื่องนี้ให้อ่าน บอกได้เลยคะว่าคุ้มค่ามากกับเงินที่นานๆ จะเสียให้กับทางแจ่มใสสักที! และยิ่งเป็นผลงานของคุณลูกชุบซึ่งเป็นนักเขียนที่มีนักอ่านหลายคนติดตามผลงานอยู่ก็เลยทำให้มั่นใจประมาณหนึ่งเลยว่าอ่านแล้วคงจะไม่ผิดหวังแน่นอน ถึงในใจจะแอบหวั่นๆ ว่ามันจะสนุกอย่างที่มีคนได้อวดสรรพคุณเอาไว้จริงหรือเปล่า แต่พอพลิกเปิดอ่านเข้าไปเท่านั้นแหละค่ะ...หยุดที่จะอ่านไม่ได้เลย!

ส่วนตัวเราเป็นคนชอบนางเอกที่สู้ชีวิตนะ ออกแนวแข็งแกร่ง ไม่โวยวาย ไม่จู้จี้ ขี้วีน บลาๆ พวกเรื่องมากเอาแต่ใจจนหน้าปวดหัวนี่ไปให้ไกลเลยค่ะ อ่านเจอเมื่อไหร่มีวางได้เลย ทว่า 'เจสซี่' แม่สาวผมม่วงนางเอกของเรื่องนี้เอาใจเราไปเลยเต็มๆ เพราะนางเป็นคนเด็ดขาด มีความรับผิดชอบ ดูกล้าไปหน่อยแต่ก็ถือว่าเป็นข้อดีอย่างหนึ่ง ยิ่งบวกกับหน้าที่ที่เธอจำเป็นต้องทำก็ยิ่งทำให้เธอดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นทั้งๆที่เธออายุเพียงสิบแปดปีเท่านั้น น้อยกว่าพระเอกของเรื่องซะอีก ฮ่าๆ และถึงแม้เจสซี่จะเป็นลูกคนรวย แต่ก็มีเรื่องให้เธอต้องระหกระเหินหนีออกจากบ้าน ชีวิตเธอเลยต้องยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง เริ่มใหม่จากการที่ต้องหาเงินใช้เอง แต่เหนือคำว่าซวยยังมีคำว่าซวยกว่า เพราะพ่อแม่ที่เป็นคนมีฐานะรู้แกวจึงได้ป่าวประกาศให้บริษัทต่างๆ ห้ามรับเธอเข้าทำงาน ไหนจะบังเอิญเจอบอร์ดี้การ์ดตามไล่จับจนหลงเข้ามาในเขตห้ามเข้าอีก สองขานี่วิ่งกันให้วุ่นจนกระทั่งทำเนียนเข้าไปสมัครงานกับคฤหาสน์วันเดอร์แลนด์(?)ที่เธอหลงเข้ามา และนั่นก็เป็นจุกเริ่มต้นที่ทำให้เธอได้เจอความรักที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนโดยการมาเป็นพี่เลี้ยงเด็ก(?) ก็แค่ในช่วงแรกเท่านั้นแหละ...ความจริงแล้วเธอเป็นผู้คุมดูแลของ 'พันไมล์' ชายหนุ่มอายุอารามก็ปาเข้าไปยี่สิบแล้วแต่ก็ยังทำตัวเป็นเด็กไม่เลิก อายุสมองนี่เทียบเท่าได้กับเจ็ดขวบ แต่ขอกระซิบหลังไมค์หน่อยเถอะว่าพันไมล์นี่อิมเพคใจเรามากๆๆๆๆ ถึงมากกกที่สุดด ขออวยนิดนึงเถอะนะ 5555 ด้วยนิสัยที่ ทั้งมึน อึน เอ๋อ บวกกับหน้าตาหล่อเหลาเคล้าน่ารักน่าฟัด ก็ยิ่งทำให้คนแก่ใจระทวยนึกกินเด็ก(?)ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก 5555 ถึงภายนอกจะเห็นพันไมล์เป็นแบบนี้ก็เถอะ แต่เบื้องลึกแล้วเขากลับเป็นคนมีเล่ห์เหลี่ยม และมากพร้อมไปด้วยความกวนประสาทอย่างยากที่จะประมาณ ยิ่งเวลาที่เขารู้ตัวว่าชอบเจสซี่นี่นะ... อื้อหือ ยิ่งเพิ่มความฟินอ่านแล้วเขินเข้าไปอีกอ่ะ เพราะพันไมล์จะรุกใส่เจสซี่ไม่หยุดเลย และนี่ก็เป็นอีกมุมหนึ่งที่จะทำให้เห็นว่า ถึงพันไมล์เขาจะหล่อ รวย มึน อึน เอ๋อ แต่ถ้ารักมันเกิดขึ้นง่ายไปก็ควรที่จะพิสูจน์ดูก่อน เหมือนอย่างที่เจสซี่คิดและทำจนรู้ว่าตัวเองตกหลุมรักคนมึนๆ คนนี้เข้าให้แล้วว อะไรประมาณนั้น ฮา

เนื้อเรื่องเรื่องนี้เป็นการบรรยายที่ไปเรื่อยๆ...เรื่อยๆ กว่าจะได้ทันรู้ตัวก็ต้องร้องหาลากเสียงยาวๆ กับตัวเองแล้วตั้งคำถามว่า เกิดอะไรขึ้นน่ะ? พันไมล์ไปแอบชอบเขาซะแล้วเหรอ?? และตอนที่ปมปัญหามันใกล้เข้ามาทุกทีแล้วนี่มันอ่านเพลินจนไม่รู้ตัวเลยล่ะคะ การที่พันไมล์อยู่ข้างๆ เจสซี่เพื่อเผชิญกับปัญหาก็ได้ทำให้เจสซี่เกิดความมั่นใจมากขึ้นว่าพันไมล์เขาชอบเธอจริงๆ และความรู้สึกของเธอเองก็คงจะไม่ต่างกัน นอกจากนี้ยังสามารถพิสูจน์เรื่องนี้ให้กับคนคนหนึ่งที่ทำให้เธอหนีออกมาได้อีกด้วย นิยายเรื่องนี้ถ้าอ่านแล้วจะวางไม่ลงเลยค่ะ รับประกันความน่ารักต้นฉบับความมุ้งมิ้งของคุณชายพันไมล์ที่ทุกคนจะต้องหลงรักและหลงใหลเขินกันแทบดิ้นตายไปข้างเลยค่ะ!

ซีรี่ย์สุดท้ายของเซ็ตนี้เป็นเรื่องของพ่อหนุ่มพันไมล์ สารภาพเลยว่าโดยส่วนตัวไม่ค่อยได้อ่านหนังสือของทางแจ่มใสสักเท่าไหร่ หลายปีมากแล้วที่ไม่ได้หยิบหนังสือของสำนักพิมพ์นี้มาอ่าน เพราะส่วนตัวเราชอบแนวแฟนตาซีมากกว่า อีกอย่างไม่ค่อยชอบเรื่องที่เน้นแนวรักๆ ด้วย จะบอกว่าคนละแนวกับทางสำนักพิมพ์แจ่มใสก็คงไม่ผิดมากนัก แต่พอมีคนแนะนำเรื่องนี้ให้อ่าน บอกได้เลยคะว่าคุ้มค่ามากกับเงินที่นานๆ จะเสียให้กับทางแจ่มใสสักที! และยิ่งเป็นผลงานของคุณลูกชุบซึ่งเป็นนักเขียนที่มีนักอ่านหลายคนติดตามผลงานอยู่ก็เลยทำให้มั่นใจประมาณหนึ่งเลยว่าอ่านแล้วคงจะไม่ผิดหวังแน่นอน ถึงในใจจะแอบหวั่นๆ ว่ามันจะสนุกอย่างที่มีคนได้อวดสรรพคุณเอาไว้จริงหรือเปล่า แต่พอพลิกเปิดอ่านเข้าไปเท่านั้นแหละค่ะ...หยุดที่จะอ่านไม่ได้เลย!

ส่วนตัวเราเป็นคนชอบนางเอกที่สู้ชีวิตนะ ออกแนวแข็งแกร่ง ไม่โวยวาย ไม่จู้จี้ ขี้วีน บลาๆ พวกเรื่องมากเอาแต่ใจจนหน้าปวดหัวนี่ไปให้ไกลเลยค่ะ อ่านเจอเมื่อไหร่มีวางได้เลย ทว่า 'เจสซี่' แม่สาวผมม่วงนางเอกของเรื่องนี้เอาใจเราไปเลยเต็มๆ เพราะนางเป็นคนเด็ดขาด มีความรับผิดชอบ ดูกล้าไปหน่อยแต่ก็ถือว่าเป็นข้อดีอย่างหนึ่ง ยิ่งบวกกับหน้าที่ที่เธอจำเป็นต้องทำก็ยิ่งทำให้เธอดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นทั้งๆที่เธออายุเพียงสิบแปดปีเท่านั้น น้อยกว่าพระเอกของเรื่องซะอีก ฮ่าๆ และถึงแม้เจสซี่จะเป็นลูกคนรวย แต่ก็มีเรื่องให้เธอต้องระหกระเหินหนีออกจากบ้าน ชีวิตเธอเลยต้องยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง เริ่มใหม่จากการที่ต้องหาเงินใช้เอง แต่เหนือคำว่าซวยยังมีคำว่าซวยกว่า เพราะพ่อแม่ที่เป็นคนมีฐานะรู้แกวจึงได้ป่าวประกาศให้บริษัทต่างๆ ห้ามรับเธอเข้าทำงาน ไหนจะบังเอิญเจอบอร์ดี้การ์ดตามไล่จับจนหลงเข้ามาในเขตห้ามเข้าอีก สองขานี่วิ่งกันให้วุ่นจนกระทั่งทำเนียนเข้าไปสมัครงานกับคฤหาสน์วันเดอร์แลนด์(?)ที่เธอหลงเข้ามา และนั่นก็เป็นจุกเริ่มต้นที่ทำให้เธอได้เจอความรักที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนโดยการมาเป็นพี่เลี้ยงเด็ก(?) ก็แค่ในช่วงแรกเท่านั้นแหละ...ความจริงแล้วเธอเป็นผู้คุมดูแลของ 'พันไมล์' ชายหนุ่มอายุอารามก็ปาเข้าไปยี่สิบแล้วแต่ก็ยังทำตัวเป็นเด็กไม่เลิก อายุสมองนี่เทียบเท่าได้กับเจ็ดขวบ แต่ขอกระซิบหลังไมค์หน่อยเถอะว่าพันไมล์นี่อิมเพคใจเรามากๆๆๆๆ ถึงมากกกที่สุดด ขออวยนิดนึงเถอะนะ 5555 ด้วยนิสัยที่ ทั้งมึน อึน เอ๋อ บวกกับหน้าตาหล่อเหลาเคล้าน่ารักน่าฟัด ก็ยิ่งทำให้คนแก่ใจระทวยนึกกินเด็ก(?)ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก 5555 ถึงภายนอกจะเห็นพันไมล์เป็นแบบนี้ก็เถอะ แต่เบื้องลึกแล้วเขากลับเป็นคนมีเล่ห์เหลี่ยม และมากพร้อมไปด้วยความกวนประสาทอย่างยากที่จะประมาณ ยิ่งเวลาที่เขารู้ตัวว่าชอบเจสซี่นี่นะ... อื้อหือ ยิ่งเพิ่มความฟินอ่านแล้วเขินเข้าไปอีกอ่ะ เพราะพันไมล์จะรุกใส่เจสซี่ไม่หยุดเลย และนี่ก็เป็นอีกมุมหนึ่งที่จะทำให้เห็นว่า ถึงพันไมล์เขาจะหล่อ รวย มึน อึน เอ๋อ แต่ถ้ารักมันเกิดขึ้นง่ายไปก็ควรที่จะพิสูจน์ดูก่อน เหมือนอย่างที่เจสซี่คิดและทำจนรู้ว่าตัวเองตกหลุมรักคนมึนๆ คนนี้เข้าให้แล้วว อะไรประมาณนั้น ฮา

เนื้อเรื่องเรื่องนี้เป็นการบรรยายที่ไปเรื่อยๆ...เรื่อยๆ กว่าจะได้ทันรู้ตัวก็ต้องร้องหาลากเสียงยาวๆ กับตัวเองแล้วตั้งคำถามว่า เกิดอะไรขึ้นน่ะ? พันไมล์ไปแอบชอบเขาซะแล้วเหรอ?? และตอนที่ปมปัญหามันใกล้เข้ามาทุกทีแล้วนี่มันอ่านเพลินจนไม่รู้ตัวเลยล่ะคะ การที่พันไมล์อยู่ข้างๆ เจสซี่เพื่อเผชิญกับปัญหาก็ได้ทำให้เจสซี่เกิดความมั่นใจมากขึ้นว่าพันไมล์เขาชอบเธอจริงๆ และความรู้สึกของเธอเองก็คงจะไม่ต่างกัน นอกจากนี้ยังสามารถพิสูจน์เรื่องนี้ให้กับคนคนหนึ่งที่ทำให้เธอหนีออกมาได้อีกด้วย นิยายเรื่องนี้ถ้าอ่านแล้วจะวางไม่ลงเลยค่ะ รับประกันความน่ารักต้นฉบับความมุ้งมิ้งของคุณชายพันไมล์ที่ทุกคนจะต้องหลงรักและหลงใหลเขินกันแทบดิ้นตายไปข้างเลยค่ะ!

นี่เป็นนิยายเล่มแรกของซีรี่ย์ L Club (Law Club) ของนักเขียนนามปากกา ‘ปราณธร’ ค่ะ น่าแปลกอยู่พอตัวเหมือนกันที่คนเขียนเขาเอาเรื่องราวของลูกชายคนเล็กแห่งบ้านนพเดชามาเปิดตัวก่อนพี่ๆ เนื้อหาในเรื่องจะเกี่ยวกับการแข่งขันแย่งชิงมรดกค่ะ โดยจะกล่าวถึงหญิงสาวคนหนึ่งที่ชื่อ ‘รมณี’ ไม่รู้เพราะเคราะห์ซ้ำกรรมซัดสวรรค์แกล้งหรืออย่างไร เธอถึงได้มีหนี้งอกงามทั้งในและนอกระบบ ต้องเจอตามหนี้ถึงบริษัท ชีวิตรันทดชนิดที่ไม่รู้ว่าชาตินี้จะหาเงินมาใช้หนี้ได้หมดหรือเปล่าเลย แต่แล้ววันหนึ่ง ทางสว่างเพียงหนึ่งเดียวก็มาเยือนเธอ เมื่อสิทธิ์การเข้าร่วมศึกแย่งชิงมรดกมันหล่นมาให้คว้าอยู่ตรงหน้า งานนี้คนที่มีหนี้ท่วมหัวอย่างรมณีเลยจำเป็นจะต้องคว้าโอกาสที่หาไม่ได้ง่ายๆ อย่างนี้มาไว้อยู่ในมือ แล้วกระโจนเข้าสู่การต่อสู้แย่งชิงมรดกกับญาติคนอื่นๆ อย่างช่วยไม่ได้

เนื้อหาที่เกริ่นไปข้างบนนั้นดูค่อนข้างเครียดใช่หรือเปล่าคะ แต่พอมาอ่านเข้าจริงๆ มันไม่ได้เครียดอย่างที่คิดเลยค่ะ แต่มันจะมีหักเหลี่ยมหักมุมอยู่บ้าง เพราะบรรดาญาติๆ (ที่รมณีไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองมีกับเขาด้วย) แทบจะใช้ทุกกลวิธีที่คิดออกมากำจัดผู้มีสิทธิ์คนอื่นให้ตกรอบตามๆ กันไป งานนี้ใครดีใครได้ค่ะ เพราะของรางวัลนั้นมันมีค่าพอให้แย่งชิง งานนี้ ‘จิรพนธ์’ หรือ ‘จีน’ ที่เป็นนักสืบฝีมือจัดจ้าน จึงจำต้องแฝงตัวเข้าไปอยู่ในบ้านของลูกความตามความต้องการของผู้จัดการเรื่องมรดก ที่นั่นเขาเลยได้พบกับรมณีที่มีศักดิ์เป็นญาติผู้พี่หลอกๆ จีนเป็นคนเดียวในที่นั้นที่ดีกับรมณี (เพราะยังไงเขาก็ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียในเรื่องมรดกอยู่แล้ว) ด้วยบุคลิกที่ดูขี้เล่น กวนประสาทคนเก่ง แถมยังชอบเข้าไปเกี้ยวทำให้หัวใจผู้หญิงเขาหวั่นไหวอีก เป็นใครๆ จะอดใจไม่ให้ชอบไหวล่ะคะ ลูกเล่นแพรวพราวเสียขนาดนั้น ติดก็แต่คำว่าศีลธรรมมันค้ำคอนี่แหละค่ะ รมณีถึงต้องคอยหักห้ามใจเอาไว้ เพราะเชื่อสนิทใจว่านายจีนน่ะมีศักดิ์เป็นญาติของตัวเอง ส่วนนายตัวดีนี่น่ะเหรอ แทนที่จะเห็นใจหญิงสาวเขาหน่อย กลับเดินหน้าเต็มเครื่องสูบเสียอย่างนั้น ทำเป็นตีเนียนอยู่ใกล้ๆ คล้ายกับหมาหวงก้าง กันไว้ก่อนกลัวมีมือดีซิวกระดูกติดมันชิ้นงามไป 5555 น่ารักน่าหยิกมากเลยค่ะพ่อหนุ่มคนเนี้ย

แนวเรื่องนี้ค่อนข้างเดาทางได้ลำบาก บางครั้งก็โดนหลอกให้เขวไปอีกตามจนอยากตบหัวตัวเองดังแป๊ะสักที ที่ชอบที่สุดก็เป็นตัวเอกของเรื่องนี่แหละค่ะ บุคลิกน้องจีนน่ารักน่าเอ็นดูนัก ทั้งเก่ง ฉลาด และขี้เล่น คุณสมบัติอย่างงี้เอาใจเจ๊ไปเลยเถอะจ๊ะ แต่บรรดาญาติๆ ของรมณีนี่น่าตบเรียงตัวจ้ะ แบบว่าหมั่นไส้อ่ะ 5555 ส่วนรมณีนี่เราก็เชียร์นางสุดใจนะ อยากให้นางได้เงินเอาไปใช้หนี้ให้หมดน่ะ ก็ต้องไปลุ้นกันในเรื่องต่อแหละค่ะว่าท้ายที่สุดแล้ว มรดกที่ทุกคนพยายามไขว่คว้ากันนั้น ใครจะเป็นคนที่ได้มันไป แล้วความรักแบบผิดศีลธรรม(ในตอนต้น) มันจะจบลงและลงเอยแบบไหน เอาใจช่วยน้องจีนด้วยนะคะ คนนี้เชียร์มาก 5555

นี่เป็นนิยายเล่มแรกของซีรี่ย์ L Club (Law Club) ของนักเขียนนามปากกา ‘ปราณธร’ ค่ะ น่าแปลกอยู่พอตัวเหมือนกันที่คนเขียนเขาเอาเรื่องราวของลูกชายคนเล็กแห่งบ้านนพเดชามาเปิดตัวก่อนพี่ๆ เนื้อหาในเรื่องจะเกี่ยวกับการแข่งขันแย่งชิงมรดกค่ะ โดยจะกล่าวถึงหญิงสาวคนหนึ่งที่ชื่อ ‘รมณี’ ไม่รู้เพราะเคราะห์ซ้ำกรรมซัดสวรรค์แกล้งหรืออย่างไร เธอถึงได้มีหนี้งอกงามทั้งในและนอกระบบ ต้องเจอตามหนี้ถึงบริษัท ชีวิตรันทดชนิดที่ไม่รู้ว่าชาตินี้จะหาเงินมาใช้หนี้ได้หมดหรือเปล่าเลย แต่แล้ววันหนึ่ง ทางสว่างเพียงหนึ่งเดียวก็มาเยือนเธอ เมื่อสิทธิ์การเข้าร่วมศึกแย่งชิงมรดกมันหล่นมาให้คว้าอยู่ตรงหน้า งานนี้คนที่มีหนี้ท่วมหัวอย่างรมณีเลยจำเป็นจะต้องคว้าโอกาสที่หาไม่ได้ง่ายๆ อย่างนี้มาไว้อยู่ในมือ แล้วกระโจนเข้าสู่การต่อสู้แย่งชิงมรดกกับญาติคนอื่นๆ อย่างช่วยไม่ได้

เนื้อหาที่เกริ่นไปข้างบนนั้นดูค่อนข้างเครียดใช่หรือเปล่าคะ แต่พอมาอ่านเข้าจริงๆ มันไม่ได้เครียดอย่างที่คิดเลยค่ะ แต่มันจะมีหักเหลี่ยมหักมุมอยู่บ้าง เพราะบรรดาญาติๆ (ที่รมณีไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองมีกับเขาด้วย) แทบจะใช้ทุกกลวิธีที่คิดออกมากำจัดผู้มีสิทธิ์คนอื่นให้ตกรอบตามๆ กันไป งานนี้ใครดีใครได้ค่ะ เพราะของรางวัลนั้นมันมีค่าพอให้แย่งชิง งานนี้ ‘จิรพนธ์’ หรือ ‘จีน’ ที่เป็นนักสืบฝีมือจัดจ้าน จึงจำต้องแฝงตัวเข้าไปอยู่ในบ้านของลูกความตามความต้องการของผู้จัดการเรื่องมรดก ที่นั่นเขาเลยได้พบกับรมณีที่มีศักดิ์เป็นญาติผู้พี่หลอกๆ จีนเป็นคนเดียวในที่นั้นที่ดีกับรมณี (เพราะยังไงเขาก็ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียในเรื่องมรดกอยู่แล้ว) ด้วยบุคลิกที่ดูขี้เล่น กวนประสาทคนเก่ง แถมยังชอบเข้าไปเกี้ยวทำให้หัวใจผู้หญิงเขาหวั่นไหวอีก เป็นใครๆ จะอดใจไม่ให้ชอบไหวล่ะคะ ลูกเล่นแพรวพราวเสียขนาดนั้น ติดก็แต่คำว่าศีลธรรมมันค้ำคอนี่แหละค่ะ รมณีถึงต้องคอยหักห้ามใจเอาไว้ เพราะเชื่อสนิทใจว่านายจีนน่ะมีศักดิ์เป็นญาติของตัวเอง ส่วนนายตัวดีนี่น่ะเหรอ แทนที่จะเห็นใจหญิงสาวเขาหน่อย กลับเดินหน้าเต็มเครื่องสูบเสียอย่างนั้น ทำเป็นตีเนียนอยู่ใกล้ๆ คล้ายกับหมาหวงก้าง กันไว้ก่อนกลัวมีมือดีซิวกระดูกติดมันชิ้นงามไป 5555 น่ารักน่าหยิกมากเลยค่ะพ่อหนุ่มคนเนี้ย

แนวเรื่องนี้ค่อนข้างเดาทางได้ลำบาก บางครั้งก็โดนหลอกให้เขวไปอีกตามจนอยากตบหัวตัวเองดังแป๊ะสักที ที่ชอบที่สุดก็เป็นตัวเอกของเรื่องนี่แหละค่ะ บุคลิกน้องจีนน่ารักน่าเอ็นดูนัก ทั้งเก่ง ฉลาด และขี้เล่น คุณสมบัติอย่างงี้เอาใจเจ๊ไปเลยเถอะจ๊ะ แต่บรรดาญาติๆ ของรมณีนี่น่าตบเรียงตัวจ้ะ แบบว่าหมั่นไส้อ่ะ 5555 ส่วนรมณีนี่เราก็เชียร์นางสุดใจนะ อยากให้นางได้เงินเอาไปใช้หนี้ให้หมดน่ะ ก็ต้องไปลุ้นกันในเรื่องต่อแหละค่ะว่าท้ายที่สุดแล้ว มรดกที่ทุกคนพยายามไขว่คว้ากันนั้น ใครจะเป็นคนที่ได้มันไป แล้วความรักแบบผิดศีลธรรม(ในตอนต้น) มันจะจบลงและลงเอยแบบไหน เอาใจช่วยน้องจีนด้วยนะคะ คนนี้เชียร์มาก 5555

หากใครได้อ่าน L Club เล่มก่อนหน้านี้มาแล้ว คงจะรู้จักพี่ชายคนโตของบ้านนพเดชาบ้างแล้วใช่ไหมคะ? ส่วนใครที่ไม่รู้ พ่อพระเอกหนุ่มนาม ‘อเนชา’ คนนี้เขาเป็นทนายมือฉมัง มีชื่อเล่นสั้นๆ ว่า ‘เนตร’ ค่ะ วันดีคืนดีเขาก็ได้รับโทรศัพท์ปริศนาจากชายที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร โทรมาขอให้เขาช่วยเหลือเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังจะตกเป็นเหยื่อความโลภของป้าตัวเอง เขาเลยต้องนั่งเครื่องจากกรุงเทพฯ ไปถึงเชียงใหม่เพื่อรับรู้ว่า คนที่เขาต้องมาเป็นทนายให้เป็นแค่ ‘เด็กเปรต’ คนหนึ่งที่เจอหน้ากันครั้งแรกก็ทำกาแฟหกใส่ แถมยังตบหน้าเขาดังเพี๊ยะพร้อมกับประณามให้เสียเรียบร้อยว่าเขาเป็น ‘ไอ้โรคจิต’! เริ่มต้นมาความสัมพันธ์ของพระนางเรื่องนี้ก็ติดลบแบบกู่ไม่กลับซะแล้ว และมันจะวุ่นซักแค่ไหน เมื่อเนตรต้องหาทางเข้าใกล้ ‘พาณิภัค’ หรือ ‘น้องพา’ คนนี้โดยที่สาวเจ้าจะไม่ระแคะระคายว่าตัวเขาน่ะมีอาชีพเป็นทนายที่รอวันให้คนชั่วแผลงฤทธิ์ เขาจะได้จัดการให้เสร็จเรียบร้อยแล้วจะได้กลับบ้านเสียที

เรื่องนี้ต้องบอกก่อนเลยว่า ตอนแรกที่อ่าน ค่อนข้างติดลบกับนิสัยของน้องพาอยู่พอสมควร เพราะ เราไม่ค่อยชอบนางเอกที่ง๊องแง๊ง ดีแต่แว๊ดๆ เข้าว่า ซึ่งเริ่มแรกเปิดมานางเอกในเรื่องนี้นี่จัดเต็มมาครบทุกคุณสมบัติที่เราไม่ชอบเลยค่ะ แต่ที่ยังอ่านต่อเพราะมันมีแพริ่งที่ไม่คาดคิดว่าจะเจอ นั่นคือสายสัมพันธ์แปร่งๆ ระหว่างคุณเนตรกับ ‘ธีรนพ’ เจ้าของร้านเครื่องเพชรที่เป็นบอสของคนที่ว่าจ้างเพชรให้บินข้ามจังหวัดมาเจอรักที่เชียงใหม่นี่แหละค่ะ ถึงตอนท้ายคุณนพจะออกแนวนางร้ายในละครหลังข่าวที่เราอยากเอาพัดไปโบกหัวพี่แกสักที แต่เราก็ชอบนะที่เขากล้า ‘จีบ’ คุณเนตรแบบเปิดเผย คนเป็นสาววายมาอ่านเรื่องนี้นี่มีกรี๊ดอ่ะ เราว่านะ 5555 ส่วนอีกคนที่เราชอบไม่แพ้คุณเนตรและคุณนพเลยคือ ‘วนิดา’ หรือ ‘นิดา’ หรือชื่อเก่าก็คือ ‘วัณชัย’ //กินจุดเงียบๆ นะคะ 5555 สาวหน้าหวานที่ในอดีตเคยเป็นชาย คนๆ นี้มาเพิ่มสีสันให้กับเรื่องนี้ได้เยอะเลยค่ะ อ่านเรื่องนี้จบเลยพูดได้เต็มปากว่าเราชอบนิดามากที่สุดในเรื่องแล้วล่ะ ส่วนตอนท้ายๆ นี่เหมือนเร่งรัดตัดจบไปหน่อย คล้ายกับว่าคนเขียนเขาไม่อยากให้คนอ่านมานั่งปวดตับเกี่ยวกับเรื่องคดีความอะไรมาก ก็เลยรวบรัดให้เข้าใจง่ายว่าเรื่องคดีระหว่างน้องพากับป้าแท้ๆ ของเธอมีผลลัพธ์ออกมาในรูปแบบไหน ซึ่งเรามองว่ามันก็โอเคดีนะ ไม่ดราม่าดี อ่านเพลินๆ ตอนจบก็ปิดได้สวยงาม รู้สึกดีกับน้องพามากขึ้น และเทความรักให้คุณเนตรหมดใจ

ถึงจะไม่เคยอ่าน L Club One / L Club Two มาก่อนก็เชื่อว่าทุกคนน่าจะอ่านเข้าใจและไม่งงนะคะ แต่อยากให้อ่านครบหมดสามเล่มเลย เพราะผลงานของปราณธรเขาดีจริงค่ะ ได้ทั้งแง่คิด ความสนุก และคติสอนใจหลายอย่างเลยนะ

หากใครได้อ่าน L Club เล่มก่อนหน้านี้มาแล้ว คงจะรู้จักพี่ชายคนโตของบ้านนพเดชาบ้างแล้วใช่ไหมคะ? ส่วนใครที่ไม่รู้ พ่อพระเอกหนุ่มนาม ‘อเนชา’ คนนี้เขาเป็นทนายมือฉมัง มีชื่อเล่นสั้นๆ ว่า ‘เนตร’ ค่ะ วันดีคืนดีเขาก็ได้รับโทรศัพท์ปริศนาจากชายที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร โทรมาขอให้เขาช่วยเหลือเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังจะตกเป็นเหยื่อความโลภของป้าตัวเอง เขาเลยต้องนั่งเครื่องจากกรุงเทพฯ ไปถึงเชียงใหม่เพื่อรับรู้ว่า คนที่เขาต้องมาเป็นทนายให้เป็นแค่ ‘เด็กเปรต’ คนหนึ่งที่เจอหน้ากันครั้งแรกก็ทำกาแฟหกใส่ แถมยังตบหน้าเขาดังเพี๊ยะพร้อมกับประณามให้เสียเรียบร้อยว่าเขาเป็น ‘ไอ้โรคจิต’! เริ่มต้นมาความสัมพันธ์ของพระนางเรื่องนี้ก็ติดลบแบบกู่ไม่กลับซะแล้ว และมันจะวุ่นซักแค่ไหน เมื่อเนตรต้องหาทางเข้าใกล้ ‘พาณิภัค’ หรือ ‘น้องพา’ คนนี้โดยที่สาวเจ้าจะไม่ระแคะระคายว่าตัวเขาน่ะมีอาชีพเป็นทนายที่รอวันให้คนชั่วแผลงฤทธิ์ เขาจะได้จัดการให้เสร็จเรียบร้อยแล้วจะได้กลับบ้านเสียที

เรื่องนี้ต้องบอกก่อนเลยว่า ตอนแรกที่อ่าน ค่อนข้างติดลบกับนิสัยของน้องพาอยู่พอสมควร เพราะ เราไม่ค่อยชอบนางเอกที่ง๊องแง๊ง ดีแต่แว๊ดๆ เข้าว่า ซึ่งเริ่มแรกเปิดมานางเอกในเรื่องนี้นี่จัดเต็มมาครบทุกคุณสมบัติที่เราไม่ชอบเลยค่ะ แต่ที่ยังอ่านต่อเพราะมันมีแพริ่งที่ไม่คาดคิดว่าจะเจอ นั่นคือสายสัมพันธ์แปร่งๆ ระหว่างคุณเนตรกับ ‘ธีรนพ’ เจ้าของร้านเครื่องเพชรที่เป็นบอสของคนที่ว่าจ้างเพชรให้บินข้ามจังหวัดมาเจอรักที่เชียงใหม่นี่แหละค่ะ ถึงตอนท้ายคุณนพจะออกแนวนางร้ายในละครหลังข่าวที่เราอยากเอาพัดไปโบกหัวพี่แกสักที แต่เราก็ชอบนะที่เขากล้า ‘จีบ’ คุณเนตรแบบเปิดเผย คนเป็นสาววายมาอ่านเรื่องนี้นี่มีกรี๊ดอ่ะ เราว่านะ 5555 ส่วนอีกคนที่เราชอบไม่แพ้คุณเนตรและคุณนพเลยคือ ‘วนิดา’ หรือ ‘นิดา’ หรือชื่อเก่าก็คือ ‘วัณชัย’ //กินจุดเงียบๆ นะคะ 5555 สาวหน้าหวานที่ในอดีตเคยเป็นชาย คนๆ นี้มาเพิ่มสีสันให้กับเรื่องนี้ได้เยอะเลยค่ะ อ่านเรื่องนี้จบเลยพูดได้เต็มปากว่าเราชอบนิดามากที่สุดในเรื่องแล้วล่ะ ส่วนตอนท้ายๆ นี่เหมือนเร่งรัดตัดจบไปหน่อย คล้ายกับว่าคนเขียนเขาไม่อยากให้คนอ่านมานั่งปวดตับเกี่ยวกับเรื่องคดีความอะไรมาก ก็เลยรวบรัดให้เข้าใจง่ายว่าเรื่องคดีระหว่างน้องพากับป้าแท้ๆ ของเธอมีผลลัพธ์ออกมาในรูปแบบไหน ซึ่งเรามองว่ามันก็โอเคดีนะ ไม่ดราม่าดี อ่านเพลินๆ ตอนจบก็ปิดได้สวยงาม รู้สึกดีกับน้องพามากขึ้น และเทความรักให้คุณเนตรหมดใจ

ถึงจะไม่เคยอ่าน L Club One / L Club Two มาก่อนก็เชื่อว่าทุกคนน่าจะอ่านเข้าใจและไม่งงนะคะ แต่อยากให้อ่านครบหมดสามเล่มเลย เพราะผลงานของปราณธรเขาดีจริงค่ะ ได้ทั้งแง่คิด ความสนุก และคติสอนใจหลายอย่างเลยนะ

ปรกติแล้วเราไม่ค่อยได้อ่านนิยายแนวนี้เท่าไหร่ แต่ได้มาอ่านเรื่องนี้เพราะติดตามงานเขียนของท่านจิ้งอยู่ เนื้อเรื่องจะเกี่ยวกับ 'ลลิน' คุณแม่ยังสาวที่ต้องช้ำรักเพราะสามีดันนอกใจไปมีอะไรกับเลขาตัวเองจนถึงกับพาเมียน้อยเข้าบ้าน งานนี้ภรรยาหลวงที่ทำหน้าที่ช้างเท้าหลังอย่างไม่เคยขาดตกบกพร่องเลยจำต้องยอมช้ำรัก ออกจากบ้านที่เคยเปี่ยมไปด้วยความสุขเพื่อมาใช้ชีวิตด้วยลำแข้งของตัวเอง ระหว่างนั้นเธอก็ได้ชายหนุ่มคนหนึ่งที่เธอเคยช่วยเหลือไว้ยื่นมือเข้ามาช่วยพยุงตัวเธอและลูกอีกแรง ก็ต้องไปลุ้นกันในเรื่องล่ะค่ะ ว่าจากผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่เข้าใจเรื่องการบริหาร แถมยังพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลยอย่างลลิน จะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ขนาดไหน แล้ววันหนึ่งที่เธอต้องกลับไปเผชิญหน้ากับอดีตสามี เธอจะยังทำตัวเป็นเข้มแข็งได้อยู่หรือเปล่า

เป็นอีกหนึ่งนิยายรักรันทดที่เราคิดว่าคนเขียนบรรยายออกมาได้ดีจริงๆ ค่ะ มันครบทุกรสเลยนะ ทั้งยังแทรกข้อคิดเอาไว้เยอะมากด้วย ต้องขอชื่นชมเลยว่าเขาบริหารตัวละครได้ดี วางปม คลายปม และผูกเรื่องได้เยี่ยม เราชอบที่ตัวละครมีการพัฒนาในแบบที่แตกต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่ลลินเท่านั้นที่เปลี่ยนไป แต่ 'อเล็กซ์' คนที่ยืนเคียงข้างในวันที่ลลินต้องเผชิญกับมรสุมร้ายก็เป็นอีกคนที่เปลี่ยนไปแบบทำเอาเรากรี๊ดไปสามวันแปดคืน ส่วนตัวร้ายอย่าง 'มุกดา' ก็พัฒนาความร้ายตามวันเวลาเหมือนกัน แต่ในความร้ายนั้นเราก็รับรู้ตลอดว่ามันเกิดขึ้นเพราะอะไร จะว่าเข้าใจนางก็เข้าใจนะ และก็เห็นใจด้วย แต่ในความเห็นอกเห็นใจนั้น เราก็ยังนึกสมน้ำหน้านางตลอดเพราะผลจากการกระทำทั้งหมดก็มาจากการที่นางยื่นมือเข้ามาเป็นมือที่สามทำให้ครอบครัวๆ หนึ่งแตกร้าวแล้วตัวเองก็เสียบเข้ามาแทน โอยย บอกแล้วไงคะว่าเรื่องนี้มันหลายอารมณ์ แต่คนที่เราอยากหัวเราะฮ่าๆๆ ใส่หน้ามากที่สุด ก็คงไม่พ้นนาย 'ราเมธ' ที่ดันนอกใจภรรยาที่แสนดีของตัวเอง คิดว่าผลลัพธ์สุดท้ายมันสาสมแล้วกับสิ่งที่เขาเคยได้ทำลงไปในอดีต ในตอนจบของเรื่องนี้นี่แอบลุ้นมากว่าความสัมพันธ์ระหว่างกับลลินและอเล็กซ์จะเป็นยังไง ก็ในเมื่อมันดราม่ามาตั้งแต่เริ่มแล้วนิเนอะ ถ้าจบแบบหักดิบ ลลินเลือกที่จะใช้ชีวิตอย่างเข้มแข็งอยู่คนเดียว เราก็จะไม่แปลกใจเลย //น้ำตาาา

เรื่องนี้ดราม่าแค่แรกเริ่มนะคะ เศร้าแบบอยากกัดผ้าเช็ดหน้าขาดเลย แต่ตั้งแต่ช่วงกลางๆ เรื่องเป็นต้นไปจะไม่ค่อยดราม่าแล้วค่ะ สนุกดี รับประกันเลย

ปรกติแล้วเราไม่ค่อยได้อ่านนิยายแนวนี้เท่าไหร่ แต่ได้มาอ่านเรื่องนี้เพราะติดตามงานเขียนของท่านจิ้งอยู่ เนื้อเรื่องจะเกี่ยวกับ 'ลลิน' คุณแม่ยังสาวที่ต้องช้ำรักเพราะสามีดันนอกใจไปมีอะไรกับเลขาตัวเองจนถึงกับพาเมียน้อยเข้าบ้าน งานนี้ภรรยาหลวงที่ทำหน้าที่ช้างเท้าหลังอย่างไม่เคยขาดตกบกพร่องเลยจำต้องยอมช้ำรัก ออกจากบ้านที่เคยเปี่ยมไปด้วยความสุขเพื่อมาใช้ชีวิตด้วยลำแข้งของตัวเอง ระหว่างนั้นเธอก็ได้ชายหนุ่มคนหนึ่งที่เธอเคยช่วยเหลือไว้ยื่นมือเข้ามาช่วยพยุงตัวเธอและลูกอีกแรง ก็ต้องไปลุ้นกันในเรื่องล่ะค่ะ ว่าจากผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่เข้าใจเรื่องการบริหาร แถมยังพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลยอย่างลลิน จะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ขนาดไหน แล้ววันหนึ่งที่เธอต้องกลับไปเผชิญหน้ากับอดีตสามี เธอจะยังทำตัวเป็นเข้มแข็งได้อยู่หรือเปล่า

เป็นอีกหนึ่งนิยายรักรันทดที่เราคิดว่าคนเขียนบรรยายออกมาได้ดีจริงๆ ค่ะ มันครบทุกรสเลยนะ ทั้งยังแทรกข้อคิดเอาไว้เยอะมากด้วย ต้องขอชื่นชมเลยว่าเขาบริหารตัวละครได้ดี วางปม คลายปม และผูกเรื่องได้เยี่ยม เราชอบที่ตัวละครมีการพัฒนาในแบบที่แตกต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่ลลินเท่านั้นที่เปลี่ยนไป แต่ 'อเล็กซ์' คนที่ยืนเคียงข้างในวันที่ลลินต้องเผชิญกับมรสุมร้ายก็เป็นอีกคนที่เปลี่ยนไปแบบทำเอาเรากรี๊ดไปสามวันแปดคืน ส่วนตัวร้ายอย่าง 'มุกดา' ก็พัฒนาความร้ายตามวันเวลาเหมือนกัน แต่ในความร้ายนั้นเราก็รับรู้ตลอดว่ามันเกิดขึ้นเพราะอะไร จะว่าเข้าใจนางก็เข้าใจนะ และก็เห็นใจด้วย แต่ในความเห็นอกเห็นใจนั้น เราก็ยังนึกสมน้ำหน้านางตลอดเพราะผลจากการกระทำทั้งหมดก็มาจากการที่นางยื่นมือเข้ามาเป็นมือที่สามทำให้ครอบครัวๆ หนึ่งแตกร้าวแล้วตัวเองก็เสียบเข้ามาแทน โอยย บอกแล้วไงคะว่าเรื่องนี้มันหลายอารมณ์ แต่คนที่เราอยากหัวเราะฮ่าๆๆ ใส่หน้ามากที่สุด ก็คงไม่พ้นนาย 'ราเมธ' ที่ดันนอกใจภรรยาที่แสนดีของตัวเอง คิดว่าผลลัพธ์สุดท้ายมันสาสมแล้วกับสิ่งที่เขาเคยได้ทำลงไปในอดีต ในตอนจบของเรื่องนี้นี่แอบลุ้นมากว่าความสัมพันธ์ระหว่างกับลลินและอเล็กซ์จะเป็นยังไง ก็ในเมื่อมันดราม่ามาตั้งแต่เริ่มแล้วนิเนอะ ถ้าจบแบบหักดิบ ลลินเลือกที่จะใช้ชีวิตอย่างเข้มแข็งอยู่คนเดียว เราก็จะไม่แปลกใจเลย //น้ำตาาา

เรื่องนี้ดราม่าแค่แรกเริ่มนะคะ เศร้าแบบอยากกัดผ้าเช็ดหน้าขาดเลย แต่ตั้งแต่ช่วงกลางๆ เรื่องเป็นต้นไปจะไม่ค่อยดราม่าแล้วค่ะ สนุกดี รับประกันเลย

สอยนิยายเรื่องนี้มาอ่านเพราะเห็นว่าได้รับรางวัลชนะเลิศแนวแฟนตาซีในโครงการนักเขียนหน้าใสของแจ่มใสปีที่ 3 แถมหน้าปกยังงามจนน่าสะสมก็เลยจัดซะ เนื้อเรื่องจะเน้นเล่าเรื่องราวของราชาปีศาจที่มีนามว่า 'อาเชอร์ ทีล' แท้จริงแล้วเขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มชาวปีศาจที่ทำอาชีพเกษตรอยู่ในหมู่บ้านกลางทุ่ม แต่แล้วโชคชั้นหนึ่งก็มาหล่นใส่หัวแบบไม่รู้อีโหน่อีเหน่ เมื่อราชาปีศาจองค์ก่อนดันจับฉลากได้ชื่อเขาจากในสำมะโนประชากร รางวัลโป๊ะแตกคือการที่เขาต้องมาประกอบอาชีพที่ไม่ว่าใครก็ไม่อยากทำ เพราะแค่อยู่เฉยๆ ก็ทำให้คนเกลียดได้แล้ว นั่นคือการเป็นราชาปีศาจนั่นเอง

นิยายเรื่องนี้อ่านๆ ไปแล้วจะให้ความรู้สึกเหมือนเรากำลังนั่งอ่านไดอารี่อยู่เล่มหนึ่ง โดยมี อาเชอร์ ทีล เป็นเจ้าสมุดไดอารี่เล่มนี้ กิจวัตรประจำวันของเขาคือการเข้าประชุมแล้วจดบันทึกลงในหนังสือเพื่อให้ราชาปีศาจรุ่นต่อไปเอาไว้ใช้ศึกษาว่าราชาปีศาจรุ่นก่อนๆ มีวิธีฟูมฟักผู้กล้าอย่างไรบ้าง แล้วราชาปีศาจที่องอาจนั้นต้องมีบุคลิกภาพอย่างไรเพื่อให้เงาหน้าตัวเองโดดเด่นเวลาอยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์ ซึ่งคาแร็คเตอร์ของ อาเชอร์ เดอะ เกรท เดมอน คิง ราชาปีศาจลำดับที่สิบสองนั้น คือการมีเส้นผมสีดำสนิทดุจรัตติกาลที่ไม่มีแม้แต่แสงดาราอันพร่างพราย และอื่นๆ อีกยาวเหยียดที่ทีลคุงได้ยินครั้งแรกถึงกับเหวอไปเลยว่านั่นใครวะ 5555 นอกจากจะใช้ชีวิตในแต่ละวันให้หมดไปกับการเพาะเลี้ยงผู้กล้าและเข้าประชุมกับบรรดาเสนาสัตว์ทั้งหลายแล้ว อีกงานหนึ่งที่เขาจำต้องทำคือการทำตามพระประสงค์ของเจ้าหญิง 'อลิเซีย' ที่วิ่งโร่มาผ่าโต๊ะประชุมของราชาปีศาจเพื่อยื่นคำขาดว่าตัวเองจะยอมเป็นตัวประกันให้ แต่ต้องทำให้ชายคนหนึ่งขยับมาเป็นผู้กล้าเพื่อมาช่วยเหลือตัวเองให้ได้ งานนี้เลยมีเจ้าหญิงที่แข็งแกร่งและเด็ดขาดกว่าราชาปีศาจมาร่วมบงการกำกับการแสดงด้วยอีกหนึ่งคน ก็คงต้องไปลุ้นกันในเรื่องแล้วล่ะค่ะว่าตอนจบของเรื่องนี้จะเป็นไปตามที่คุณเจ้าหญิงเขาต้องการหรือเปล่า แต่บอกได้เลยว่างานนี้ราชาปีศาจมีแต่ต้องตามน้ำอย่างเดียวแหละจ้า 5555

นิยายเรื่องนี้จะออกแนวล้อเลียนเทพนิยายหรือนิทานอยู่มากพอสมควร ก็ส่วนใหญ่ถ้าพูดถึงราชาปีศาจ เราก็จะนึกถึงปีศาจที่ทำตัวชั่วร้ายใช่ไหมล่ะคะ แต่พออ่านเรื่องนี้ไป เราจะได้เห็นมุมต่างที่คนเขียนเขาพยายามนำเสนอออกมา เห็นมุมน่ารักๆ ของเหล่าปีศาจที่ไม่คิดเลยว่าจะมี ไหนจะมีผู้กล้าที่ไม่น่าจะมาเป็นผู้กล้าได้ แล้วยังจะเจ้าหญิงที่แข็งแกร่งกว่าราชาปีศาจนี่อีก เราว่ามันน่ารักดีนะ ทั้งยังมีมุกตลกเยอะด้วย ก็มีฮาบ้างแป้กบ้างแต่โดยรวมแล้วก็ยังถือว่าสนุก แต่อ่านๆ ไปแล้วเนื้อเรื่องดูจะวนๆ เกินกว่าครึ่งเล่มเลยแอบเปื่อยๆ ไปบ้าง ทว่าเรื่องความคิดสร้างสรรค์และการบรรยายนี่ต้องขอยกนิ้วให้เลยค่ะ เขียนดีและไหลลื่นจริงๆ

สอยนิยายเรื่องนี้มาอ่านเพราะเห็นว่าได้รับรางวัลชนะเลิศแนวแฟนตาซีในโครงการนักเขียนหน้าใสของแจ่มใสปีที่ 3 แถมหน้าปกยังงามจนน่าสะสมก็เลยจัดซะ เนื้อเรื่องจะเน้นเล่าเรื่องราวของราชาปีศาจที่มีนามว่า 'อาเชอร์ ทีล' แท้จริงแล้วเขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มชาวปีศาจที่ทำอาชีพเกษตรอยู่ในหมู่บ้านกลางทุ่ม แต่แล้วโชคชั้นหนึ่งก็มาหล่นใส่หัวแบบไม่รู้อีโหน่อีเหน่ เมื่อราชาปีศาจองค์ก่อนดันจับฉลากได้ชื่อเขาจากในสำมะโนประชากร รางวัลโป๊ะแตกคือการที่เขาต้องมาประกอบอาชีพที่ไม่ว่าใครก็ไม่อยากทำ เพราะแค่อยู่เฉยๆ ก็ทำให้คนเกลียดได้แล้ว นั่นคือการเป็นราชาปีศาจนั่นเอง

นิยายเรื่องนี้อ่านๆ ไปแล้วจะให้ความรู้สึกเหมือนเรากำลังนั่งอ่านไดอารี่อยู่เล่มหนึ่ง โดยมี อาเชอร์ ทีล เป็นเจ้าสมุดไดอารี่เล่มนี้ กิจวัตรประจำวันของเขาคือการเข้าประชุมแล้วจดบันทึกลงในหนังสือเพื่อให้ราชาปีศาจรุ่นต่อไปเอาไว้ใช้ศึกษาว่าราชาปีศาจรุ่นก่อนๆ มีวิธีฟูมฟักผู้กล้าอย่างไรบ้าง แล้วราชาปีศาจที่องอาจนั้นต้องมีบุคลิกภาพอย่างไรเพื่อให้เงาหน้าตัวเองโดดเด่นเวลาอยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์ ซึ่งคาแร็คเตอร์ของ อาเชอร์ เดอะ เกรท เดมอน คิง ราชาปีศาจลำดับที่สิบสองนั้น คือการมีเส้นผมสีดำสนิทดุจรัตติกาลที่ไม่มีแม้แต่แสงดาราอันพร่างพราย และอื่นๆ อีกยาวเหยียดที่ทีลคุงได้ยินครั้งแรกถึงกับเหวอไปเลยว่านั่นใครวะ 5555 นอกจากจะใช้ชีวิตในแต่ละวันให้หมดไปกับการเพาะเลี้ยงผู้กล้าและเข้าประชุมกับบรรดาเสนาสัตว์ทั้งหลายแล้ว อีกงานหนึ่งที่เขาจำต้องทำคือการทำตามพระประสงค์ของเจ้าหญิง 'อลิเซีย' ที่วิ่งโร่มาผ่าโต๊ะประชุมของราชาปีศาจเพื่อยื่นคำขาดว่าตัวเองจะยอมเป็นตัวประกันให้ แต่ต้องทำให้ชายคนหนึ่งขยับมาเป็นผู้กล้าเพื่อมาช่วยเหลือตัวเองให้ได้ งานนี้เลยมีเจ้าหญิงที่แข็งแกร่งและเด็ดขาดกว่าราชาปีศาจมาร่วมบงการกำกับการแสดงด้วยอีกหนึ่งคน ก็คงต้องไปลุ้นกันในเรื่องแล้วล่ะค่ะว่าตอนจบของเรื่องนี้จะเป็นไปตามที่คุณเจ้าหญิงเขาต้องการหรือเปล่า แต่บอกได้เลยว่างานนี้ราชาปีศาจมีแต่ต้องตามน้ำอย่างเดียวแหละจ้า 5555

นิยายเรื่องนี้จะออกแนวล้อเลียนเทพนิยายหรือนิทานอยู่มากพอสมควร ก็ส่วนใหญ่ถ้าพูดถึงราชาปีศาจ เราก็จะนึกถึงปีศาจที่ทำตัวชั่วร้ายใช่ไหมล่ะคะ แต่พออ่านเรื่องนี้ไป เราจะได้เห็นมุมต่างที่คนเขียนเขาพยายามนำเสนอออกมา เห็นมุมน่ารักๆ ของเหล่าปีศาจที่ไม่คิดเลยว่าจะมี ไหนจะมีผู้กล้าที่ไม่น่าจะมาเป็นผู้กล้าได้ แล้วยังจะเจ้าหญิงที่แข็งแกร่งกว่าราชาปีศาจนี่อีก เราว่ามันน่ารักดีนะ ทั้งยังมีมุกตลกเยอะด้วย ก็มีฮาบ้างแป้กบ้างแต่โดยรวมแล้วก็ยังถือว่าสนุก แต่อ่านๆ ไปแล้วเนื้อเรื่องดูจะวนๆ เกินกว่าครึ่งเล่มเลยแอบเปื่อยๆ ไปบ้าง ทว่าเรื่องความคิดสร้างสรรค์และการบรรยายนี่ต้องขอยกนิ้วให้เลยค่ะ เขียนดีและไหลลื่นจริงๆ

สำหรับคนที่เป็นพนักงานกินเงินเดือน ตื่นเช้าทำงาน เลิกเย็นกลับบ้าน อาจมีสังสรรค์บ้างตามโอกาส มีวันหยุดแค่ 1-2 วัน กับวันหยุดนักขัตฤกษ์อีกไม่กี่วันต่อปี คุณคิดว่าชีวิตที่วนเวียนเป็นวัฏจักรอยู่เช่นนี้มันน่าเบื่อไหมล่ะ ส่วนตัวเรามองว่ามันน่าเบื่อนะ ทำงานให้พอใช้แบบเดือนชนเดือนไม่ใช่เรื่องสนุกเลย กับคนที่ไม่มีภาระหรือค่าใช้จ่ายอาจมองว่ามันเป็นงานที่มั่นคง แต่พอทำไปได้สักพัก เรากลับมองว่าเราก็เหมือนกับเป็นแค่ฟันเฟืองตัวหนึ่งที่ทำให้กลไกธุรกิจของคนอื่นสามารถดำเนินต่อไปได้ กล่าวง่ายๆ เลยคือทำงานเพื่อให้คนอื่นเขารวยว่างั้นเถอะ ส่วนตัวเราก็ได้แค่ค่าแรง สวัสดิการ กับเงินโบนัสนิดๆ หน่อยๆ ที่บางทีบางปีก็ไม่ได้เหมือนกัน ดังนั้นเราจึงลองมองหาทางอื่นที่จะสามารถทำเงินเพิ่มเติมจากที่หาได้ ด้วยการรับจ๊อบเล็กๆ น้อยๆ แบบฟรีแลนซ์ รวมไปถึงมองหาช่องทางที่จะออกมาทำธุรกิจเป็นของตัวเองด้วย ในตอนที่เรากำลังมีความคิดแบบนั้นอยู๋ในหัวนั่นเอง เราก็ได้มาเจอกับหนังสือเล่มนี้ ยอมรับเลยว่าชื่อหนังสือนั้นกระแทกใจเราอย่างแรง เป็นเหตุให้จ่ายเงินซื้อหนังสือเล่มนี้มา ในเล่มนี้จะเป็นการบอกเล่าความเป็นมาของคนที่เขาประสบความสำเร็จในชีวิตจริง เพียงเพราะเขากล้าที่จะออกมาทำในที่เขาถนัด+ในสิ่งที่เขารัก เขาทำให้คนที่กำลังมองหาช่องทางทำเงินวิธีอื่นอย่างเราเลิกคิดที่จะยึดติดกับชีวิตต้องจมจ่อมอยู่กับการทำงานประจำ

“แท้จริงแล้วจุดหมายปลายทางแห่งอิสรภาพของชีวิตคุณนั้นคืออะไร” นี่เป็นคำถามในหน้าคำนำของผู้เขียนที่มันกระแทกใจเรามาก และคงมีแต่เรานี่แหละที่จะสามารถหาคำตอบนั้นได้ด้วยตัวของเราเอง

หนังสือเล่มนี้ไม่ได้นำเสนอเพื่อให้คนที่ได้อ่านยื่นเรื่องลาออก หรือมองว่าการทำงานประจำเป็นสิ่งไม่ดี เพียงแต่หนังสือเล่มนี้กำลังช่วยชี้ช่องทางให้เราเห็นว่า ยังมีทางเลือกอื่นอีกมากที่สามารถหาเงินได้มากกว่าการทำงานประจำ เป็นหนังสือที่มอบแรงบันดาลใจให้กับคนที่อยากริเร่มก้าวเดินทางฝันหรือเส้นทางของตัวเอง รวมไปถึงเคล็ดลับ และแนวคิดของคนที่ประสบความสำเร็จมาก่อน เพื่อเป็นแรงผลักดันให้กับคนที่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา

ส่วนตัวเราคิดว่าหนังสือเล่มนี้ให้แง่คิดดีนะ เพราะเขาสอนให้เรารู้จักมองโลกสองด้าน ให้เราได้เอะใจว่า ในความมั่นคงนั้นมันก็ยังแฝงความไม่มั่นคงซ่อนไว้อยู่ ไม่มีใครรู้หรอกว่าอนาคตชีวิตเราจะเป็นอย่างไร และถ้าเราไม่กล้าออกจากฝั่ง เราจะค้นพบทะเลแห่งใหม่ได้อย่างไร

สำหรับคนที่เป็นพนักงานกินเงินเดือน ตื่นเช้าทำงาน เลิกเย็นกลับบ้าน อาจมีสังสรรค์บ้างตามโอกาส มีวันหยุดแค่ 1-2 วัน กับวันหยุดนักขัตฤกษ์อีกไม่กี่วันต่อปี คุณคิดว่าชีวิตที่วนเวียนเป็นวัฏจักรอยู่เช่นนี้มันน่าเบื่อไหมล่ะ ส่วนตัวเรามองว่ามันน่าเบื่อนะ ทำงานให้พอใช้แบบเดือนชนเดือนไม่ใช่เรื่องสนุกเลย กับคนที่ไม่มีภาระหรือค่าใช้จ่ายอาจมองว่ามันเป็นงานที่มั่นคง แต่พอทำไปได้สักพัก เรากลับมองว่าเราก็เหมือนกับเป็นแค่ฟันเฟืองตัวหนึ่งที่ทำให้กลไกธุรกิจของคนอื่นสามารถดำเนินต่อไปได้ กล่าวง่ายๆ เลยคือทำงานเพื่อให้คนอื่นเขารวยว่างั้นเถอะ ส่วนตัวเราก็ได้แค่ค่าแรง สวัสดิการ กับเงินโบนัสนิดๆ หน่อยๆ ที่บางทีบางปีก็ไม่ได้เหมือนกัน ดังนั้นเราจึงลองมองหาทางอื่นที่จะสามารถทำเงินเพิ่มเติมจากที่หาได้ ด้วยการรับจ๊อบเล็กๆ น้อยๆ แบบฟรีแลนซ์ รวมไปถึงมองหาช่องทางที่จะออกมาทำธุรกิจเป็นของตัวเองด้วย ในตอนที่เรากำลังมีความคิดแบบนั้นอยู๋ในหัวนั่นเอง เราก็ได้มาเจอกับหนังสือเล่มนี้ ยอมรับเลยว่าชื่อหนังสือนั้นกระแทกใจเราอย่างแรง เป็นเหตุให้จ่ายเงินซื้อหนังสือเล่มนี้มา ในเล่มนี้จะเป็นการบอกเล่าความเป็นมาของคนที่เขาประสบความสำเร็จในชีวิตจริง เพียงเพราะเขากล้าที่จะออกมาทำในที่เขาถนัด+ในสิ่งที่เขารัก เขาทำให้คนที่กำลังมองหาช่องทางทำเงินวิธีอื่นอย่างเราเลิกคิดที่จะยึดติดกับชีวิตต้องจมจ่อมอยู่กับการทำงานประจำ

“แท้จริงแล้วจุดหมายปลายทางแห่งอิสรภาพของชีวิตคุณนั้นคืออะไร” นี่เป็นคำถามในหน้าคำนำของผู้เขียนที่มันกระแทกใจเรามาก และคงมีแต่เรานี่แหละที่จะสามารถหาคำตอบนั้นได้ด้วยตัวของเราเอง

หนังสือเล่มนี้ไม่ได้นำเสนอเพื่อให้คนที่ได้อ่านยื่นเรื่องลาออก หรือมองว่าการทำงานประจำเป็นสิ่งไม่ดี เพียงแต่หนังสือเล่มนี้กำลังช่วยชี้ช่องทางให้เราเห็นว่า ยังมีทางเลือกอื่นอีกมากที่สามารถหาเงินได้มากกว่าการทำงานประจำ เป็นหนังสือที่มอบแรงบันดาลใจให้กับคนที่อยากริเร่มก้าวเดินทางฝันหรือเส้นทางของตัวเอง รวมไปถึงเคล็ดลับ และแนวคิดของคนที่ประสบความสำเร็จมาก่อน เพื่อเป็นแรงผลักดันให้กับคนที่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา

ส่วนตัวเราคิดว่าหนังสือเล่มนี้ให้แง่คิดดีนะ เพราะเขาสอนให้เรารู้จักมองโลกสองด้าน ให้เราได้เอะใจว่า ในความมั่นคงนั้นมันก็ยังแฝงความไม่มั่นคงซ่อนไว้อยู่ ไม่มีใครรู้หรอกว่าอนาคตชีวิตเราจะเป็นอย่างไร และถ้าเราไม่กล้าออกจากฝั่ง เราจะค้นพบทะเลแห่งใหม่ได้อย่างไร